1. ภาวะเศรษฐกิจในช่วง 2 สัปดาห์หลังของเดือนก.พ. 53 ยังคงทรงตัว โดยข้อมูลจากสถาบันศึกษาและวิจัยด้านเศรษฐกิจ (The Institute for Economics Study and Analysis —ISAE) ได้รายงานว่าแม้ว่าความเชื่อมั่นของกลุ่มผู้ประกอบการผลิตจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในเดือนก.พ. 53 (จาก ม.ค. 53 = 83.2 จุดเป็น 84 จุด ในเดือน ก.พ. 53) ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นในแง่ของคาสั่งซื้อและการผลิตและปริมาณสินค้าคงคลังที่ลดลงสู่ภาวะปกติก็ตามแต่ปรากฏว่าความเชื่อมั่นของกลุ่มผู้ประกอบการจำหน่ายปลีกกลับลดลง (จากม.ค. 53 111.7 จุด เป็น 107.7 จุดในเดือนก.พ. 53) โดยผู้ประกอบการจำหน่ายปลีกมีความกังวลค่อนข้างมากต่อการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่มีแนวโน้มลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 ซึ่งปรากฏว่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเรื่องภาพรวมของเศรษฐกิจได้ลดลงมากที่สุดจาก 88.5 จุดเป็น 79 จุด และดัชนีความเชื่อมั่นต่อความคาดหวังในระยะสั้นลดลงจาก 101.1 จุดเป็น 96.5 จุด ซึ่งระดับใกล้เคียงกับช่วง พ.ค. 52 ซึ่งการลดลงดังกล่าวเกิดจากภาวะการจ้างงานในประเทศที่มีภาพค่อนข้างเลวร้ายและภาวะเงินเฟ้อ
ทั้งนี้ ISAE ได้ประมาณการภาวะเศรษฐกิจของอิตาลีในปี 2553 และ 2554 ตามลาดับ ดังนี้
1.1. GDP = +1% (เดิมคาดการณ์ไว้ 0.6% และ +1.4% ) ( หาก GDP ในปี 2554 เพิ่มเป็น+1.4% จะทาให้ภาวะเศรษฐกิจฟื้นตัวจากความเสียหายที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจในปี 2551 และ 2552 ได้ถึง 40 %)
1.2. การว่างงาน = 8.8% ของกาลังแรงงาน และคงที่ในปี 2554 ( ปี 52 = 7.8 % )
1.3 ภาวะเงินเฟ้อ = 1.6% และ 2% ในปี 2554 ( ปี 52 = 0.8% )
2. สำนักงานสถิติแห่งอิตาลี ( ISTAT ) ได้รายงานภาวะเศรษฐกิจดังนี้
2.1 ราคาผู้ผลิตสินค้าอุตสาหกรรม ( Industrial Produces Prices ) ในเดือน ม.ค. 53 ได้เพิ่มขึ้น 0.6 % จากเดือนก่อนหน้า แต่ลดลง 0.3% เมื่อเทียบกับเดือน ม.ค. 52และการส่งออกสินค้าไปจาหน่ายในต่างประเทศเพิ่มขึ้น 0.5% จากเดือนก่อนหน้าแต่ลดลง 0.3% เมื่อเทียบกับเดือน ม.ค.
2.2 ภาวะเงินเฟ้อในเดือน ม.ค 53 เพิ่มขึ้นเป็น 1.3% จากเดือน ธ.ค. 52 ที่เท่ากับ 1% ทั้งนี้แม้ว่าภาวะเงินเฟ้อในปี 52 จะต่าที่สุดในรอบ 50 ปี โดยลดลงเหลือ 0 เมื่อเดือน ก.ค. 52 ก็ตาม แต่ก็ได้เริ่มมีอัตราเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ จนซึ่งแสดงให้เห็นว่าภาวะเศรษฐกิจอิตาลีที่ชะงักงันได้ฟื้นตัวขึ้นแล้วการที่ภาวะเงินเฟ้อในเดือน ม.ค. 53 ได้เพิ่มสูงขึ้นนั้นเป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของราคาน้ามัน ค่าโดยสารรถไฟ แอลกอฮอล์และยาสูบ และค่าทางด่วน เป็นต้น ทั้งนี้ กลุ่มสิทธิผู้บริโภคได้แก่ Federconsumatori และ Adusbef เห็นว่าราคาสินค้าและบริการดังกล่าวจะยังคงเพิ่มสูงขึ้นต่อไป แม้ว่าการใช้จ่ายของผู้บริโภคจะมีแนวโน้มลดลงซึ่งแสดงว่ากำลังซื้อของประชาชนยังคงหดตัว และเห็นว่าอัตราเงินเฟ้อในเดือน ม.ค. 53 ที่เพิ่มขึ้นเป็น 1.3% ดังกล่าวจะก่อให้เกิดต้นทุนเฉลี่ยของครัวเรือน 390 ยูโร
2.3 ยอดจำหน่ายปลีกในอิตาลีในปี 2552 ลดลง 1.6 % เมื่อเทียบกับปี 2551 ซึ่งลดลงมากที่สุดนับแต่มีการเก็บข้อมูลตั้งแต่ปี 2544 เป็นต้นมา และเป็นการลดลงในแทบทุกกลุ่มสินค้ายกเว้นกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านและทีวีที่มียอดจาหน่ายปลีกเพิ่มขึ้น 1.2% ส่วนสินค้าที่มียอดจำหน่ายต่าที่สุดได้แก่ กลุ่มรองเท้า กระเป๋าเดินทาง จิวเวลรี่ นาฬิกา ( รวมแล้วลดลง 2.9 % ) และกลุ่มกระดาษ/สื่อสิ่งพิมพ์ ลดลง 2.8 % โดยมียอดจำหน่ายของสินค้าอาหารลดลง 1.5 % สินค้าที่มิใช่อาหาร ลดลง 1.6 % ทั้งนี้ร้านค้าขนาดใหญ่ยังคงขายได้ในระดับที่ใกล้เคียงกับปี 2551 ในขณะที่ร้านค้าขนาดเล็กมียอดจาหน่ายลดลง 2.7%
3. บริษัทเฟี๊ยตได้เริ่มหยุดการผลิตตามที่ได้ประกาศแผนการหยุดการผลิตชั่วคราวในช่วง 2 สัปดาห์หลังของเดือน ก.พ 53 และ 2 สัปดาห์แรกของ มี.ค. 53 โดยหยุดการจ้างคนงานจานวน 30,000 คน รวมทั้งระดับพนักงานกว่า 5,000 คน เพื่อเป็นการลดค่าใช้จ่ายด้านค่าจ้างลงเนื่องจากแม้บริษัทจะมีแนวโน้มที่ดีในช่วงครึ่งหลังของปี 2552 แต่คาสั่งซื้อได้เริ่มลดลงอย่างรุนแรงในเดือน ม.ค 53 เมื่อเปรียบเทียบกับเดือน ม.ค 52 ซึ่งประสบภาวะวิกฤตเศรษฐกิจโดยยอดการสั่งซื้อรถใหม่ในเดือน ม.ค 53 ได้ลดลงถึง 50% เมื่อเทียบกับเดือน ธ.ค. 52 และต่อเนื่องมาจนถึงเดือน ก.พ. 53 ที่มียอดสั่งซื้อลดลงราว 50 % เช่นกัน ซึ่งเป็นผลมาจากการที่รัฐบาลอิตาลีตัดสินใจที่จะไม่ต่ออายุมาตรการ Green Carh For Clunkers ที่เคยให้ความช่วยเหลือแก่อุตสาหกรรมรถยนต์ในปี 2552 แต่จะเปลี่ยนไปให้ความช่วยเหลือแก่กลุ่มอุตสาหกรรมหลักอื่นๆแทน
ผลจากการที่รัฐบาลไม่ต่ออายุมาตรการให้กลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ จะทาให้บริษัทเฟี๊ยตมีผลการดาเนินการที่คุ้มทุนโดยมีมูลค่าการค้ากว่า 50,000 ล้านยูโร มีกำไร 1.1 ถึง 1.2 พันล้านยูโร และมีหนี้สินกว่า 5,000 ล้านยูโร
4. นาย Robert Mundell ศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยโคลัมเบียที่ได้รับรางวัล Noble ได้ให้สัมภาษณ์ว่าอิตาลีเป็นประเทศที่น่ากังวลหนี้สาธารณะ ซึ่งหากอิตาลีไม่สามารถทำให้หนี้ลดลงได้ก็อาจก่อให้เกิดปัญหาใหญ่ต่อค่าเงินยูโร ทั้งนี้ ค่าเงินยูโรเริ่มมีปัญหาตั้งแต่ต้นปีหลังจากมีรายงานกรีซเกิดการขาดดุลมากกว่า 12% ของ GDP คิดเป็น 4 เท่าของเพดานที่กำหนดไว้ที่ 3% ส่วนอิตาลีเองก็มีปัญหาการขาดดุลในปี 2552 อิตาลีขาดดุลการค้า 4.9% ของ GDP โดยมีหนี้สาธารณะราว 1.8 หมื่นล้านยูโร
5. ISTAT ได้รายงานผลการศึกษาของปี 2551 ที่พบว่าครอบครัวอิตาเลี่ยนส่วนใหญ่ คือ ร้อยละ 68.5 มีบ้านเป็นของตัวเองร้อยละ 18.9 เช่าบ้านอยู่ ( ต้องจ่ายค่าเช่าบ้านคิดเป็น 75 % ของรายได้ ) และร้อยละ 12.6 อยู่อาศัยแบบไม่เสียค่าเช่า ทั้งนี้ข้อมูลในปี 2551 พบว่า
ในจำนวนครอบครัวอิตาเลี่ยนที่มีบ้านเป็นของตัวเองพบว่าร้อยละ 13.4 มีการจำนองบ้าน (15% อยู่ในทางตอนกลาง/ตอนเหนือ และ 8.2 % อยู่ในทางตอนใต้ของอิตาลี) โดยร้อยละ 36.6 ของผู้จำนองดังกล่าวเป็นครอบครัวหนุ่มสาวที่ไม่มีลูก นอกจากนี้พบว่า ค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาบ้านถือเป็นส่วนสำคัญในงบประมาณของครอบครัวซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายราว 347 ยูโร ต่อเดือน และมีรายได้เฉลี่ย 2,465 ยูโรต่อเดือน
6. เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2553 คนงานจำนวนราว 300 คน จากบริษัท Antonio Merioni ซึ่งเป็นผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านในเมือง Ancona ได้นัดหยุดงานเพื่อประท้วงกรณที่บริษัทได้ประกาศล้มละลายเมื่อปลายปี 2551 ทำให้คนงานของบริษัทที่มีจำนวนถึง 3,200 คน ต้องตกงานและรับความช่วยเหลือด้านสิทธิประโยชน์จากการถูกเลิกจ้างจากรัฐบาล ทั้งนี้รัฐบาลอิตาลีได้สัญญาที่จะเข้าไปช่วยจัดการปัญหาโดยการสปอนด์เซอร์ ทั้งหมดหรือบางส่วนในการขายกิจการบริษัท อย่างไรก็ดีมีรายงานว่ากลุ่มผู้ผลิตจากจีนมีกาหนดการที่จะเดินทางมาดูโรงงานของบริษัทในปลายเดือนกุมภาพันธ์นี้โดยผู้ผลิตจากจีนดังกล่าวแสดงความสนใจซื้อกิจการในส่วนของการผลิตตู้เย็นและเครื่องซักผ้า ส่วนการผลิตสินค้าตัวอื่นๆ รัฐบาลอิตาลีอยู่ระหว่างการช่วยหานักลงทุนที่สนใจจะรับซื้อกิจการของบริษัท
อนึ่ง บริษัท Antonio Merioni ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการบริหาร Merloni Elettrodomestici (ซึ่งปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท Indecit Company) ซึ่งเป็นผู้ผลิตสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านรายใหญ่ในสหภาพยุโรปแต่อย่างใด
7. รมว.กระทรวงแรงงานอิตาลี (Mr.Maurizio Sacconi) เปิดเผยว่า ปัญหากรณี 2 บริษัทข้ามชาติยักษ์ใหญ่ 2 แห่ง คือ บริษัท ALCOA (บริษัทอเมริกันผู้ผลิตอลูมิเนียม)และบริษัท BLAXO (บริษัทอังกฤษผู้ผลิตยา) จะตัดลดการดาเนินงานในอิตาลีลงน่าจะมีข้อสรุปที่ดีในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้ในเร็วๆ นี้
โดยบริษัท ALCOA มีแผนการที่จะหยุดการผลิตอลูมิเนียมในโรงงาน 2 แห่งที่ตั้งอยู่ที่เมืองเวนิซและซาร์ดิเนียเป็นการชั่วคราวหลังจากถูกคณะกรรมาธิการยุโรปตัดสินว่าการให้เงินช่วยเหลือค่าไฟฟ้าของโรมแก่ บริษัท ALCOA ตั้งแต่ปี 2549 ไม่ได้รับการรับรองจากรัฐบาลและบริษัทต้องจ่ายเงินคืนราว 215 — 290 ล้านยูโร ซึ่งบริษัทกล่าวว่าการชำระคืนเงินดังกล่าวมีผลกระทบการเงินของบริษัทอย่างร้ายแรงหลังจากได้รับผลกระทบจากภาวะวิกฤตเศรษฐกิจมาก่อนหน้านี้ ส่วนบริษัท BLAXO ก็ได้ประกาศที่จะปิดการดาเนินการในส่วนของการวิจัยและพัฒนาซึ่งมีคนงานราว 500 คน ที่ตั้งอยู่ในเมืองเวโรน่า
อิตาลีต้องประสบปัญหาจากการที่บริษัทผู้ประกอบการรายใหญ่ที่ลงทุนในประเทศอิตาลีได้ตัดลดการดำเนินการในอิตาลีลง ซึ่งรวมถึงกรณีบริษัทเฟี๊ยตซึ่งเป็นผู้ผิตรถยนต์รายใหญ่ของอิตาลีที่ได้ประกาศปิดโรงงานผลิตที่ Termini Imerese,เกาะซิซิลีด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ Mr. Sacconi ได้กล่าวว่ารัฐบาลจะพยายามทุกวิถีทางเพื่อมิให้บริษัทยักษ์ใหญ่แห่งชาติทั้งหลายละทิ้งการดำเนินการและการลงทุนในประเทศอิตาลีและหากจำเป็นก็อาจต้องดำเนินการทางด้านการทูตด้วย
สำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ กรุงโรม
ที่มา: http://www.depthai.go.th