ในสหรัฐฯ มีจำนวนรถยนต์ขึ้นทะเบียนกว่า 200 ล้านคัน ในรัฐแคลิฟอร์เนียมีจำนวนรถยนต์ขึ้นทะเบียนมากที่สุดประมาณ 20 ล้านคัน อายุการใช้งานของรถยนต์โดยเฉลี่ยประมาณ 8.5 ปี
อุตสาหกรรมอุปกรณ์และส่วนประกอบประเภททดแทนเป็นสาขาอุตสาหกรรมที่สำคัญของสหรัฐฯ ก่อให้เกิดการจ้างงานประมาณ 4.3 ล้านคน ในปี 2551 และมีผู้ประกอบการผลิต และจัดจำหน่ายสินค้ากว่า 2,500 ราย และ มีร้านค้าปลีกจำหน่ายสินค้ากว่า 30,000 แห่ง/ร้าน ทั่วประเทศอุตสาหกรรมครอบคลุมรวมถึงสินค้าอุปกรณ์และส่วนประกอบยานยนต์ทุกชนิด ของรถยนต์ทุกประเภท ตลอดจนประดับยนต์ และ สินค้าสำหรับบำรุงรักษารถยนต์ต่างๆ และเครื่องมือ (Tools) ที่ใช้ในการซ่อมแซม
ตลาดสินค้าอุปกรณ์และส่วนประกอบประเภททดแทนของสหรัฐฯ มียอดจำหน่ายรวมเป็นมูลค่า 280.7 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2551 ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปี 2550 ร้อยละ 0.2 โดยแยกเป็นยอดจำหน่ายอุปกรณ์และส่วนประกอบประเภททดแทนใช้สำหรับรถยนต์ส่วนบุคคลและรถบรรทุกขนาดเล็ก (Light Truck) มีมูลค่า 210.2 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ และอุปกรณ์และส่วนประกอบประเภททดแทนใช้สำหรับรถบรรทุกขนาดกลาง-ใหญ่ (Heavy Duty Truck) มูลค่า 70.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ
การจำหน่ายอุปกรณ์และส่วนประกอบประเภททดแทนผ่านช่องทางร้านค้าปลีก Auto Parts มีมูลค่าประมาณ 110 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ และ การจำหน่ายผ่านช่องทางบริการ (Service Station) มีมูลค่าประมาณ 160 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ และ ช่องทาง E-Commerce ประมาณ 10 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ
การจัดจำหน่ายสินค้าอุปกรณ์และส่วนประกอบทดแทน (Replacement Equipment Manufacturing :REM) ในตลาดขายส่ง (Wholesale) ในสหรัฐฯ จะถูกจัดจำหน่ายจากโรงงานผลิตหรือผู้นำเข้าไปยังตัวจักรสำคัญในการกระจายสินค้า 3 องค์กร (1) Expeditor ได้แก่ New Car Dealer (2) Feeder ได้แก่ ร้านค้าปลีก Auto Parts ทั่วไป Gas Station, Body Shop, Tire Shop และ (3) Program Group ซึ่งมีจำนวน 10 รายในสหรัฐฯ จัดหน่ายสินค้าไปยังสมาชิกในกลุ่ม ประกอบด้วย Jobber (Small Wholesale) ซึ่งจะจำหน่ายสินค้าให้แก่กลุ่มผู้ให้บริการ เช่น Gas Station, Body Shop และ Repair Shop ห้าง Chain Store เช่น Wal-Mart, Target, Home Depot, Pepboys, Sears Auto, O’Reilly และสินค้าที่จำหน่ายเป็นสินค้า Brand Name ของผู้ผลิต
ผู้นำเข้าตลาดรายใหญ่ (Top 5 ) คือ ห้าง AutoZone, ห้าง Advance Auto Parts, ห้าง enuine Parts , ห้าง O’Reilly Auto Parts และ ห้าง Genuine Parts ซึ่งทั้ง 5 รายมีห้างสาขารวมกันจำนวน 13,740 แห่งทั่วสหรัฐฯ และมียอดจำหน่ายรวมกันประมาณ 25 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือกล่าวได้ว่า ผู้นำตลาด 5 อันดับแรก ครองตลาดการค้าปลีกสินค้าอุปกรณ์และส่วนประกอบยานยนต์ของสหรัฐฯ ประมาณร้อยละ 22
สินค้าอุปกรณ์และส่วนประกอบยานยนต์ที่มีลู่ทางขยายตลาดในสหรัฐฯ ประกอบด้วย
- Engines parts - Panels - Braking and clutch systems - Suspension systems - Exhausts - Transmissions and rear axles - Air conditioning & Components - Lightings - Metal Stampings - Rubber parts- Tire & wheel
มาตรการภาษี: สหรัฐฯ เก็บภาษีศุลกากรรถยนต์นำเข้าและส่วนประกอบในอัตราต่ำโดยเก็บภาษีรถยนต์นำเข้าประมาณร้อยละ 0.00-25.00 และชิ้นส่วนประกอบประมาณร้อยละ 0.00-5.00 และให้สิทธิพิเศษ GSP และ การเรียกเก็บภาษีตอบโต้การทุ่มตลาด (Anti Dumping Duty) และค้นหาเพิ่มเติมได้จาก http://dataweb.usitc.gov)
มาตรการไม่ใช่ภาษี เป็นเรื่องเกี่ยวกับมาตรฐานอุตสาหกรรมเพื่อความปลอดภัย (Industry standards) มาตรฐานที่สำคัญ ได้แก่
1. มาตรฐาน DOT : US Department of Transportation เน้นในด้านความปลอดภัย
2. มาตรฐาน UL : Universal Laboratories สำหรับส่วนประกอบที่ใช้กับไฟฟ้า
3. มาตรฐาน EPA : กำหนดโดย US Environment Protection Agency : EPA ควบคุมในเรื่องมาตรฐาน Greenhouse Gas Emissions และ Fuel Economy
4. มาตรฐานกลุ่มประกันภัยรถยนต์สำหรับชิ้นส่วน Collision Parts มาตรฐานของ Auto Part ชนิดต่างๆ ของสหรัฐฯ สามารถค้นหาข้อมูลเพิ่มเติม ได้จาก Web Site ของหน่วยงานดังกล่าว ดังนี้
- The American National Standards Institute (ANSI) www.ansi.org
- Society of Automotive Engineers (SAE) www.sae.org
- Underwriters Laboratories (UL) www.ul.com
- Department of Transportation (DOT) www.dot.gov
- Environmental Protection Agency (EPA) www.epa.gov
- Federal Communications Commission (FCC) www.fcc.gov
- The Consumer Product Safety Commission (CPSC) www.cpsc.gov
- Occupational Safety and Health Administration (OSHA) www.osha.gov
จุดแข็ง
1. แรงงานในภาคอุตสาหกรรมชิ้นส่วนและยานยนต์มีการเรียนรู้และสั่งสมทักษะ ความชำนาญด้านการผลิตมาอย่างยาวนานจากการรับถ่ายทอดเทคโนโลยีจากผู้ประกอบการต่างชาติ โดยเฉพาะผู้ประกอบการญี่ปุ่น
2. ผู้ผลิตชิ้นส่วนอะไหล่และยานยนต์ในไทยมีการกระจุกตัวและการรวมกลุ่มอุตสาหกรรม(Cluster) อันเป็นผลดีในแง่ของการลดต้นทุน การวางแผนกลยุทธ์ร่วมกัน รวมถึงลดต้นทุนการขนส่งระหว่างกัน
3. ผู้ประกอบการไทยโดยเฉพาะในกลุ่มที่ผลิตชิ้นส่วนเพื่อป้อนโรงงานโดยตรง (Tier 1) มีการสร้างเครือข่ายความสัมพันธ์กับลูกค้าอย่างค่อนข้างใกล้ชิด และได้รับการยอมรับโดยทั่วกันว่าสินค้าไทยมีคุณภาพ
4. ภาครัฐมีนโยบายผลักดันให้อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ในภูมิภาค จึงมีการเร่งพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันและศักยภาพของผู้ประกอบการไทย
จุดอ่อน
1. แรงงานและทรัพยากรบุคคลขาดทักษะด้านภาษาต่างประเทศซึ่งทำให้เป็นอุปสรรคต่อการรับถ่ายทอดเทคโนโลยีจากต่างชาติ และขาดความรู้และทักษะด้านการออกแบบ
2. ผู้ประกอบการผลิตชิ้นส่วนไทยมีข้อจำกัดในการติดต่อสื่อสารกับต่างประเทศ ขาดการวางแผนทางธุรกิจ รวมถึงการนำระบบการบริหารที่รวดเร็วทันต่อการเปลี่ยนแปลง และการนำเทคโนโลยีสารสนเทศ มาใช้ปรับปรุง และพัฒนาปัจจัยในด้านต่างๆ ขององค์กร เพื่อยกระดับให้เป็นที่ยอมรับจากบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ในต่างประเทศ
3. ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์เป็นผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อมจึงไม่มีศักยภาพในการเพิ่มหรือลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนา
4. เครื่องจักรและเทคโนโลยีการผลิต ยังต้องพึ่งพาต่างประเทศ การทำวิจัย พัฒนา และการทำนวัตกรรมมีน้อย
5. ขาดการผลักดันและส่งเสริมการใช้ Brand Name ของตนเองในการขยายตลาด โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ประกอบการผลิตชิ้นส่วนอะไหล่ทดแทน (แบบ Replacement) จึงมีการใช้ชื่อตราสินค้า(Brand) ของตนเองน้อยมาก
6. ขาดหน่วยงาน อุปกรณ์ เครื่องมือ ด้านการให้บริการตรวจสอบ ทดสอบ และอุปกรณ์ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันมีอยู่น้อย ไม่ครบถ้วนตามข้อกำหนด เก่า และ ล้าสมัย
7. สหรัฐฯ เป็นตลาดที่คุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งเป็นข้อจำกัดของสินค้าลอกเลียนแบบสินค้าชิ้นส่วน อะไหล่ยานยนต์ไทย บางส่วนจะมีโอกาสในตลาดที่ไม่มีความเข้มแข็งในเรื่องการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา
โอกาส
1. ในภาวะเศรษฐกิจถดถอยของสหรัฐฯ ตลาดรถยนต์ที่ชะลอตัวส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมชิ้นส่วนของไทย โดยภาพรวมผู้บริโภคมีความระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้น และมีแนวโน้มไม่นิยมซื้อรถใหม่แต่จะใช้รถคันเดิมหรือซื้อรถยนต์มือสอง ซึ่งมีราคาต่ำกว่าแม้จะมีปัญหาจุกจิกจากการซ่อมบำรุง ดังนั้นความต้องการอะไหล่รถยนต์จึงมีแนวโน้มที่จะเพิ่มสูงขึ้น เป็นนโอกาสและส่งผลดีต่อผู้ผลิตชิ้นส่วนอะไหล่ทดแทน (Replacement Equipment Manufacturing ) ของไทย
2. สินค้าชิ้นส่วนอะไหล่ที่มีพื้นฐานจากยางธรรมชาติเป็นสินค้าที่มีศักยภาพและมีความต้องการในตลาดสหรัฐฯ เนื่องจากไทยเป็นผู้ผลิตและส่งออกยางธรรมชาติรายใหญ่ของโลก
3. การผลักนโยบายการค้าเสรี ( Free Trade Area : FTA) ของรัฐบาลกับประเทศต่างๆ รวมทั้งสหรัฐฯ เพื่อการชักจูงให้มีการย้ายฐานการผลิตมาในประเทศไทยมากขึ้น
อุปสรรค
1. การแข่งขันมีความรุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะจีนซึ่งสามารถพัฒนาศักยภาพทางเทคโนโลยีของตนขึ้นได้อย่างรวดเร็ว และก้าวหน้ากว่าประเทศไทย และ เวียดนามเป็นแหล่งผลิตที่มีค่าจ้างแรงงานต่ำ
2. ค่าเงินบาทที่แข็งค่าทำให้ราคาชิ้นส่วนและอะไหล่ยานยนต์ที่ส่งออกมายังตลาดสหรัฐฯมีราคาสูงขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อการสูญเสียตลาดในสหรัฐฯ
3. ราคาน้ำมันดินสูงขึ้น ส่งผลต่อราคาวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต เช่น ราคาเม็ดพลาสติก และ โลหะเหล็กสูงขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น ราคาสินค้าเพิ่มสูงขึ้น และ การส่งออกลดลง
4. ราคาต้นทุนการผลิคที่เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลต่อ ราคาวัตถุดิบ การช่วงชิงสัดส่วนตลาดสินค้าในสหรัฐฯ เนื่องจากทำให้สินค้าไทยมีราคาสูงกว่าประเทศคู่แข่งขัน
สำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ นครชิคาโก
ที่มา: http://www.depthai.go.th