Mr.Moreno เลขาธิการการค้าภายในประเทศ (Secretary of Domestic Trade) ได้ประกาศผ่านสื่อต่างๆทั่วไปในช่วงต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาว่า ได้เห็นชอบให้มีการห้ามนำเข้าอาหารที่เหมือนกับผลิตภัณฑ์หลักของประเทศ (National Production) ได้มีการประกาศจากMr.Moreno อย่างชัดเจนว่า ตั้งแต่ 1 มิถุนายน 2553 เป็นต้นไป บนชั้นวางของในซุปเปอร์มาร์เก็ตของอาร์เจนตินาจะต้องนำเสนอสินค้าที่ผลิตในประเทศเพียงเท่านั้น ข้อกำหนดนี้จะนำไปใช้สำหรับสินค้าต่างๆ ส่งผลกระทบต่อการนำเข้าอาหารตั้งแต่ “พาสต้าอิตาเลียน เบียร์เยอรมัน น้ำมันมะกอกสเปน ไปจนถึงช๊อคโกแลตสวิส " Mr. Moreno แจ้งว่า “ในเมื่อมีผู้ผลิตในประเทศได้ ก็ไม่มีเหตุผลใดที่จะต้องนำเข้าสินค้านั้นๆ ซึ่งกลุ่มคนที่ต้องการนำเข้าสับปะรดหรือปาล์มจะไม่มีปัญหาใดๆ เพราะไม่มีการผลิตในประเทศ แต่เราจะไม่อนุญาตให้นำเข้าแยมของอิตาลี หรือช็อคโกแลตจากยุโรป" เป็นประโยคที่ Moreno ได้กล่าวเน้นย้ำเป็นระยะๆ
วิธีการดำเนินการของ Mr.Moreno ที่ใช้คือ การแจ้งนโยบายด้วยวาจา (โดยใช้วิธีแถลงข่าว) ไม่ได้มีการจัดทำเป็นหนังสือประกาศอย่างเป็นทางการ และเพื่อให้แน่ใจว่าเครือข่ายซุปเปอร์มาร์เก็ตจะดำเนินการตามนโยบายของตน เลขานุการการค้าภายในประเทศยังได้ขอให้หน่วยงานอื่นของอาร์เจนตินา คือ National Administration of Drugs, Food and Medical Technology (ANMAT) สร้างข้อกีดขวางการนำเข้าของสินค้าต่างๆ ซึ่งองค์กรนี้เป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบในส่วนของการออกใบอนุญาตการนำเข้าของอาหารเข้าประเทศอาร์เจนตินา ซึ่งตามหลักการแล้ว Mr.Moreno ไม่มีอำนาจสั่งการโดยตรงต่อ ANMAT ซึ่งขึ้นกับกระทรวงสาธารณสุข วิธีการดำเนินการแบบนี้ไม่ได้เป็นครั้งแรกที่เลขานุการการค้าภายในประเทศจะสั่งการทางอ้อมแก่เจ้าหน้าที่จากหน่วยงานอื่นๆ ซุปเปอร์มาร์เก็ตได้ตำหนิรัฐบาลอาร์เจนตินาในเรื่องการห้ามนำเข้าอาหาร ซึ่งได้มีการเปลี่ยนแปลงกฎของการนำเข้าตั้งแต่ในปีที่ผ่านมาตามนโยบายของ Mr.Moreno ที่กำหนดให้กลุ่มธุรกิจค้าปลีกระบบเครือข่าย(Chain)สามารถนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศได้ก็ต่อเมื่อต้องมีการส่งออกในมูลค่าที่ใกล้เคียงกัน เพื่อทำให้สินค้านำเข้าและส่งออกอยู่ในเกณฑ์สมดุล วิธีนี้ทำให้ Chain ที่เป็นผู้ส่งออกเนื้อและหนังรายใหญ่อย่าง COTO และ La An?nima มี Margin ที่จะนำเข้าสินค้าได้มากกว่า Hypermart รายอื่น สำหรับตอนนี้ผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือกลุ่ม Hypermart ที่เน้นการจำหน่ายสินค้านำเข้า อย่างเช่น Carrefour(ของฝรั่งเศส), Walmart(สหรัฐฯ) และ Jumbo(ชิลี) ซึ่งปัจจุบันทั้ง 3 ราย มีส่วนแบ่งตลาดมากในอาร์เจนตินาต้องประสบปัญหาในการนำเข้าสินค้าต่างๆ
ถึงอย่างไรก็ตามการประกาศข้างต้นส่งผลกระทบที่เกิดขึ้นกับกลุ่ม Hypermart ยังนับไม่รุนแรงมากนัก เนื่องจากไม่มีรายใดที่นำเข้าสินค้าประเภทอาหารเกิน 3% ของมูลค่าการนำเข้า
ตั้งแต่ประกาศห้ามขายและกีดกันการนำเข้าอาหารเกิดขึ้นเมื่อสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมา เมื่อHypermart และเครือข่ายซุปเปอร์มาร์เก็ตบางส่วนเริ่มพบอุปสรรคในการนำข้าวโพดเข้าจากประเทศบราซิล เนื่องจากการผลิตในประเทศไม่เพียงพอต่อความต้องการในประเทศ ทำให้บริษัทท้องถิ่นโดยทั่วไปต้องการนำเข้าข้าวโพดจากบราซิล "เมื่อกลุ่มธุรกิจข้างต้นอธิบายสถานการณ์ให้ Moreno เขาบอกว่าไม่ใช่ปัญหาของเขาและเขากล่าวว่ารัฐบาลควรจะสนับสนุนอุตสาหกรรม/ผู้ผลิตภายในประเทศ" ส่งผลทำให้เริ่มมีการหยุดการนำเข้าข้าวโพดจากบราซิล
ข้อจำกัดในการนำเข้าจะไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อผู้นำเข้าของผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูปเท่านั้น แต่ยังจะมีผลต่อบริษัทข้ามชาติบางรายที่นำผลิตภัณฑ์ไปผลิตเป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆเพื่อขายในประเทศ "กรณีของบริษัทมีการประสานงานกับสายการผลิตผลิตภัณฑ์ที่ผลิตในบราซิลและสายของผลิตภัณฑ์อื่นๆที่เราทำในอาร์เจนตินา" เพื่อรักษาสมดุลย์ของการนำเข้า/ส่งออก ผู้จัดการของบริษัทต่างประเทศที่มีผู้แทนอยู่ในทุกพื้นที่กล่าว
เหตุผลของการหยุดการนำเข้านี้ Mr.Moreno แจ้งว่า รัฐบาลจะต้องปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศก่อนที่จะมีการเพิ่มขึ้นของสินค้าอาหารที่นำเข้าเนื่องจากค่าของเงินยูโรที่อ่อนลง และมีความกังวลอย่างมากคือ ความแปรปรวนสถานการณ์ในประเทศสเปนและกรีซที่อุปสงค์ของอาหารภายในประเทศได้ลดลงอย่างมากในปัจจุบัน
อย่างไรก็ตามการปกป้องของ Mr.Moreno เป็นดาบสองคม เนื่องจาก กลุ่มธุรกิจซุปเปอร์มาร์เก็ตตื่นตัวกับการจำกัดการนำเข้า อาจส่งผลกระทบให้มีการปรับราคาสินค้าเพิ่มขึ้นเนื่องจากการขาดแคลนสินค้า ซึ่งเกิดขึ้นทุกครั้งที่มีการปิดกั้นทางเศรษฐกิจ "ถ้าไม่สามารถนำเข้าพาสต้าอิตาลี ผู้ผลิตภายในประเทศจะต้องเพิ่มราคาสำหรับผลิตภัณฑ์ของตน" ผู้บริหาร Chain Hypermart ชั้นนำกล่าวซึ่งหลายคนกังวลว่าจะส่งผลกระทบต่ออัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นจากมาตรการนี้
อย่างไรก็ตามกระทรวงเกษตร Mr. Julian Dominguez ได้ปฏิเสทความจริงเรื่องที่รัฐบาลอาร์เจนตินาอยู่ระหว่างการหาลู่ทางในการห้ามนำเข้าอาหาร โดยแจ้งว่ารัฐบาลยังมีท่าทีที่จะให้ความเคารพปฏิบัติตามกฏกติกาขององค์การการค้าโลก (WTO) ต่อไป ความคิดเห็น/ข้อเสนอแนะของ สคร.บัวโนสไอเรส
อาร์เจนตินามีนโยบายชัดเจนและดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง เป็นขั้นตอน คือ การส่งเสริมการผลิตทดแทนการนำเข้า โดยมีมาตรการสนับสนุนทั้งด้านการคลัง(ภาษี)และการเงิน(เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ) แก่อุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น อุตสาหกรรมผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน และล่าสุดปัจจุบันกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารและการเกษตร ฯลฯ ซึ่งมีแนวโน้มว่าต่อไปจะมีการใช้มาตรการ NTBs เพิ่มขึ้นส่งผลกระทบกับกลุ่มสินค้าอื่นๆ มากขึ้น
ข้อเสนอแนะ/แนวทางการแก้ไขในระยะยาว —ปัจจุบันยังมีการลงทุนจากไทยในประเทศแถบลาตินอเมริกาน้อยมาก กลุ่มผู้ผลิต/ผู้ส่งออกไทยควรมีการขยายการลงทุนมาสร้างฐานการผลิต/ส่งออกในประเทศอาร์เจนตินา และกลุ่ม MERCOSUR ซึ่งมีมาตรการส่งเสริมการลงทุนในประเทศ สามารถซื้อทรัพย์สิน/ที่ดินได้ เศรษฐกิจโดยทั่วไปมีแนวโน้มดี ประชากรมีรายได้ต่อหัวโดยเฉลี่ยสูงกว่าไทย และมีการขยายตัวสูงอย่างต่อเนื่อง ตลาดมีลักษณะเฉพาะ และมีแนวโน้มมุ่งเน้นการค้าภายในกลุ่มมากขึ้น โดยอุตสาหกรรมที่ไทยมีความเข้มแข็งและแข่งขันได้เป็นอย่างดี คือ กลุ่มอุตสาหกรรมการเกษตรและอาหาร อุตสาหกรรมด้านอัญมณีและเครื่องประดับ อุตสาหกรรมอาหาร/ปลาทูน่ากระป๋อง อุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์และสินค้าตกแต่งบ้าน ธุรกิจบริการเช่น ร้านอาหาร สปา นวด ธุรกิจบันเทิง ฯลฯ โดยควรเป็นการร่วมลงทุนกับนักธุรกิจพื้นเมือง ทั้งนี้ ควรระมัดระวังปัญหาการฉ้อโกง ปัญหาแรงงาน กฏระเบียบข้อกฏหมายมีการเปลี่ยนแปลงบ่อย และการโอนเงินซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ในการดำเนินธุรกิจในแถบนี้
สคร.บัวโนสไอเรส
ที่มา: http://www.depthai.go.th