"เวียดนาม" ประเทศคู่แข่งกลุ่มอาเซียนในสิงคโปร์ที่ไทยต้องจับตามอง

ข่าวเศรษฐกิจ Monday May 31, 2010 16:27 —กรมส่งเสริมการส่งออก

ข้อมูลทั่วไป

นักเศรษฐศาสตร์ในหลายประเทศให้ความเห็นว่า ประเทศในอินโดจีนจะมีการเจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากสภาวะธุรกิจการค้าในจีนเริ่มเกิดปัญหาโดยตรงต่อนักลงทุนต่างชาติทำให้ต้องหันมองหาประเทศอื่นๆเพื่อเป็นตัวเลือกในการลงทุนและทำการค้า ซึ่งนักลงทุนต่างชาติให้ความสำคัญอย่างมากต่อเวียดนาม ถึงแม้ว่าในสมัยก่อน เวียดนามทำให้นักลงทุนชาวต่างชาติขยาด ด้วยอัตราเงินเฟ้อสูงและอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่ำข้อมูลการทำธุรกิจไม่โปร่งใส ขาดแคลนโครงสร้างพื้นฐานเศรษฐกิจและพลังงานเพื่อใช้ในเชิงพาณิชย์ แต่ในช่วงเศรษฐกิจทั่วโลกถดถอย ได้ส่งผลให้เวียดนามมีเศรษฐกิจเติบโตขึ้น การค้าระหว่างประเทศในเดือนมีนาคม 2553 มีมูลค่า 1.85 พันล้านเหรียญสิงคโปร์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 2 (เทียบกับ กพ.53) อย่างไรก็ตาม นักลงทุนต่างชาติยังมีความกังวลเกี่ยวกับสินค้าจากจีนที่จะไหลสู่เวียดนามมากขึ้นในอนาคต โดยใช้สิทธิประโยชน์ของ ASEAN-China Free Trade Agreement ซึ่งจะส่งผลขัดขวางการเติบโตของอุตสาหกรรมการผลิตท้องถิ่น นอกจากนี้ การลดลงของ foreign reserves สะท้อนให้การลงทุนของต่างชาติลดลง รวมถึงการปรับค่าเงินตราร้อยละ 5.4 ในเดือนพฤศจิกายน 2552 และร้อยละ 3.4 ในเดือนกุมภาพันธ์ 2553 ไม่ได้ส่งเสริม Trade Balance แต่ทำให้อัตราเงินเฟ้อมีระดับแปรปรวน

ความสัมพันธ์ระหว่างกัน

สิงคโปร์และเวียดนามได้มีสัมพันธไมตรีทางการทูตต่อกันเป็นอย่างดี เริ่มต้นจากการแลกเปลี่ยนการเยือนของผู้นำประเทศ และผู้บริหารระดับสูง การขยายการค้าและธุรกิจระหว่างสิงคโปร์กับเวียดนามเป็นเวลาหลายสิบปีได้ทำให้ความสัมพันธ์แน่นแฟ้นและแข็งแกร่งขึ้น สิงคโปร์เป็นหนึ่งใน 5 อันดับของนักลงทุนต่างชาติในเวียดนาม มีการลงทุนรวมเป็นเงิน 15.6 พันล้านเหรียญสิงคโปร์ (มค.52) และสิงคโปร์เป็นประเทศคู่ค้าสำคัญของเวียดนาม โดยในปี 2551 การค้าระหว่างประเทศมีมูลค่า 11 พันล้านเหรียญสิงคโปร์ (เพิ่มขึ้นร้อยละ 20 เมื่อเทียบกับปี 2550) นอกจากนั้นยังมีความร่วมมือด้านอื่นๆ ได้แก่ การสร้าง Vietnam-Singapore Industrial Parks (VSIP) และ Vietnam-Singapore Training Centre in Hanoi นอกเหนือจากความร่วมมือในกรอบอาเซียนแล้ว เวียดนามและสิงคโปร์ยังมีความร่วมมือกันในกรอบ ASEM, APEC และ FEALAC ด้วย

สิงคโปร์ให้การสนับสนุนในการฝึกอบรมบุคคลากรเวียดนาม เริ่มจากในปี 2535 ชาวเวียดนามมากกว่า 10,000 ราย ได้รับการฝึกอบรมในสิงคโปร์ ภายใต้ Singapore Cooperation Programme ในสาขาต่างๆ ได้แก่ สุขอนามัย สิ่งแวดล้อม การเงิน/การธนาคารและการค้า การสร้างผลผลิตระบบการจัดการสาธารณชนและภาษาอังกฤษ และต่อมาสิงคโปร์ได้จัดตั้ง Vietnam-Singapore Training Centre ในฮานอย (2545) มุ่งเน้นฝึกอบรมข้าราชการเวียดนาม นอกจากนี้ สิงคโปร์จัดให้ทุนการศึกษาแก่นักศึกษาเวียดนาม ภายใต้ ASEAN Secondary Three Scholarships, Singapore Scholarship (undergraduate studies) และ NUS’ Master in Public Management and Master in Public Policy Programmes (post-graduate studies) นอกจากนี้ สิงคโปร์กับเวียดนาม ได้เพิ่มความสัมพันธ์ในด้านการทหาร โดย Mr. Teo Chee Hean, Deputy Prime Minister and Defence Minister ได้เยือนเวียดนามอย่างเป็นทางการและเวียดนามจัด ASEAN Defence Ministers’ Meeting รวมถึงมีการลงนามข้อตกลงความร่วมมือกันในด้านความช่วยเหลือมนุษยชนและด้านอุทกภัยด้วย

เวียดนามและสิงคโปร์ได้ประสานสัมพันธไมตรีและจะทำให้ทั้ง 2 ประเทศ ได้รับผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน แม้ว่าเวียดนามจะต้องใช้เวลาอีกประมาณ 20-30 ปีข้างหน้า ที่จะทำให้ประเทศมีศักยภาพสำหรับสิงคโปร์ ในภาพรวมจะได้รับผลประโยชน์และได้รับความไว้วางใจจากเวียดนาม เนื่องจากสิงคโปร์มีความร่วมมือในด้านต่างๆเชิงพาณิชย์ ได้แก่

1. การสนับสนุนเวียดนามสู่ตลาดจีน โดยบุคคลากรที่สื่อสารด้วยภาษาจีนกลาง สำหรับเวียดนาม อาจมีอุปสรรคเล็กน้อยด้านการสื่อสาร แต่ในปัจจุบัน ชาวเวียดนามเริ่มเรียนภาษาอังกฤษ

2. การลงทุนและการค้า ซึ่งสิงคโปร์ให้ความสนใจเวียดนามเป็นอันดับ 3 รองจากอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ ทั้งนี้ จนถึงปี 2550 สิงคโปร์เป็นประเทศอันดับ 2 ที่ลงทุนในเวียดนาม ต่อมาในปี 2551 อยู่อันดับ 5 มูลค่าการลงทุนรวมถึงเดือนธันวาคม 2551 เป็นเงิน 14.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ

3. ข้อตกลงความร่วมมือระหว่างกันในหลายสาขา ได้แก่ การเงิน/การธนาคาร การศึกษา และการคมนาคม

4. ตลาดหลักทรัพย์ของสิงคโปร์ให้ความช่วยเหลือเวียดนามในการพัฒนาตลาดเพื่อให้มีมาตรฐานในระดับระหว่างประเทศ ซึ่งจะเพิ่มศักยภาพในการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศแก่เวียดนามตามข้อตกลงความ สัมพันธ์เวียดนาม—สิงคโปร์ ที่ลงนามเมื่อ ธ.ค.48 ด้วยการจัดฝึกอบรมเจ้าหน้าที่เวียดนามในเรื่องการพิจารณาบริษัทที่ขอจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์และการประชาสัมพันธ์ตลาดหลักทรัพย์ นอกจากนี้ ตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์กับเวียดนามยังมีข้อผูกพันที่เกิดจากการทำบันทึกในระดับรัฐบาล โดยจะเปิดให้มีการซื้อขายหุ้นข้ามตลาดกัน(เริ่มปี 2551) ปัจจุบันเวียดนามมีตลาดหลักทรัพย์ 2 แห่ง ที่นครโฮจิมินห์ และฮานอย โดยตลาดฯ ที่นครโฮจิมินห์มีขนาดใหญ่กว่าตลาดฯ ที่ฮานอยมีบริษัทจดทะเบียน 49 บริษัท มูลค่าการซื้อขายวันละประมาณ 5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

การลงทุนของสิงคโปร์ในเวียดนาม

การลงทุนสร้าง Vietnam-Singapore Industrial Park (VSIP) เริ่มเมื่อปี 2549 สร้างที่พักอาศัยและอาคารพาณิชย์ในเวียดนามเหนือและใต้ แบ่งออกเป็น 4 ส่วน คือ

  • Park 1 พื้นที่ 500 เฮกตาร์ อยู่ทางใต้ ที่ Ho Chi Minh City
  • Park 2 พื้นที่ 2,045 เฮกตาร์ อย่ที่ Bihn Duong
  • Park 3 พื้นที่ 700 เฮกตาร์ อยู่ที่ Bac Ninh ใกล้ Hanoi และ
  • Park 4 พื้นที่ 1,600 เฮกตาร์ อยู่ที่ Haiphong

มูลค่าของ 4 แห่ง เป็นเงิน 660 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งบริษัท Sembcorp (สิงคโปร์) ลงทุนไปแล้ว 53 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยร่วมกับ Vietnamese State-owned Enterprise “Bacamex” สร้างโรงงานสำหรับการผลิตสินค้าประเภทต่างๆ ได้แก่ เภสัชภัณฑ์ health-care, และ electronics (ยี่ห้อดังๆ ได้แก่ Kimberly-Clark และ Omron) ทั้งนี้ บริษัทส่วนใหญ่ที่จัดตั้ง ณ สถานที่ดังกล่าวมาจากประเทศญี่ปุ่น ไต้หวัน มาเลเซีย และสิงคโปร์(Mapletree Investment ร้อยละ 14) อนึ่ง นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่า ไม่ว่าจะอยู่ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจหรือเศรษฐกิจฟื้นตัว VSIP สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ด้วยดี

ธุรกิจที่สิงคโปร์สนใจลงทุนในเวียดนาม

ธุรกิจที่สิงคโปร์สนใจลงทุนในเวียดนาม ได้แก่ การสร้างโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจ, การคมนาคมขนส่ง, พลังงานไฟฟ้า, การศึกษา, การเงิน/การธนาคาร, การค้าปลีก(เนื่องจากประชากรระดับรายได้ปานกลางมีจำนวนเพิ่มขึ้น), การสื่อสารโทรคมนาคม, ระบบ IT และการให้บริการสุขอนามัยซึ่งนอกจากสิงคโปร์พยายาม

ให้การสนับสนุน SMEs สิงคโปร์ที่มีศักยภาพไปยังเวียดนามแล้ว ยังได้ชักชวนชาวต่างชาติ (ญี่ปุ่น เกาหลี สหรัฐฯ และยุโรป) เข้าไปลงทุนใน VSIP ด้วย ซึ่งในปัจจุบัน เวียดนามจะได้เปรียบในด้านค่าแรงงานต่ำ, ราคาอสังหาริมทรัพย์ต่ำ เสถียรภาพการเมืองมั่นคง และผู้นำประเทศพิจารณาวางนโยบายเพื่อให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างมีประสิทธิภาพ

สำหรับธุรกิจธนาคารของสิงคโปร์ 2 ราย ซึ่ง 1 รายเข้าไปลงทุนในเวียดนามแล้ว คือ DBS Bank (ธนาคารใหญ่ที่สุดของสิงคโปร์) ได้รับใบอนุญาตให้เปิดสาขาแห่งแรกในโอจิมินห์ ด้วยเงินทุน 15 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และมีระยะเวลาทำการ 99 ปี ส่วนอีกรายหนึ่งอยู่ระหว่างการดำเนินการ คือ N M Rothschild & Sons (Singapore) Limited โดยจะจัดให้มีสำนักงานตัวแทนในฮานอยเพื่อทำการสำรวจตลาดและส่งเสริมโครงการของธนาคารในเวียดนาม ด้วยการให้คำปรึกษาและจัดทำสัญญาข้อตกลงกับสำนักงานเครดิตและธุรกิจต่างๆ (นอกจากนี้ ธนาคาร HSBC และ Standard Chartered ได้รับการอนุญาตให้จัดตั้ง wholly owned units)

อย่างไรก็ตาม การลงทุนในเวียดนามยังมีปัจจัยเสี่ยงสำคัญ ได้แก่ ปัญหาการคอรัปชั่น (มากกว่าในจีน ไทย และอินโดนีเซีย), ปัญหาการขาดแคลนพลังงาน (การผลิต hydro-electric ไม่พอกับความต้องการ), ปัญหาการขาดแคลนบุคคลากรชำนาญการ และกฎ/ระเบียบของภาครัฐที่ไม่โปร่งใส

การค้ากับสิงคโปร์

1. เวียดนามเป็นประเทศคู่ค้า อันดับที่ 19 (มค.-มีค.53) รองจากประเทศ มาเลเซีย จีน สหรัฐ อินโดนีเซีย ฮ่องกง ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน ไทย(อันดับ 9) อินเดีย ออสเตรเลีย เยอรมนี ฟิลิปปินส์ ซาอุดิอาระเบีย ฝรั่งเศส สหราชอาณาจักร เนเธอร์แลนด์ และสาธารณรัฐอาหรับอิมิเรตส์

2. มูลค่าการค้ารวม การนำเข้า และส่งออก ในช่วงไตรมาสแรก(มค.-มีค.) ของปี 2553 ดังนี้

หน่วย : ล้านเหรียญสิงคโปร์
ประเภท มค.-มีค.2551 มค.-มีค.2552 มค.-มีค.2553 การค้ารวม 4,021.60 2,859.90 3,250.50 การนำเข้าจากเวียดนาม 857.90 798.80 679.70 การส่งออกไปยังเวียดนาม 3,163.70 2,061.10 2,570.80

3. สินค้านำเข้าจากเวียดนาม 10 อันดับแรก ได้แก่ Mineral Fuel Oils Waxes & Products, Electrical Machinery Sound Recorders, Nuclear Reactors Boilers & Parts, Salt Sulphur Earths Stone Lime Cement, Glass & Glassware, Fish Crustaceans Molluscs, Footwear Gaiters & Parts, Cereals, Optical Photographic Measuring Instruments และ Preparations of Meat Fish Crustaceans สินค้าอื่นๆรองจาก 10 อันดับแรก และนับเป็นคู่แข่งของไทย ได้แก่ Plastic & Articles, Articles of Apparel & Accessories Knitted and non-knitted, Iron and Steel, Paper & Paperboard Articles of Paper Pulp และ Furniture Bedding Lamps Fittings

4. สินค้าส่งออกไปยังเวียดนาม 10 อันดับแรก ได้แก่ Mineral Fuel Oils Waxes & Products, Nuclear Reactors Boilers & Parts, Electrical Machinery Sound Recorders, Plastics & Articles, Miscellaneous Chemical Products, Paper & Paperboard Articles of Paper Pulp, Postal Packages & Special Transactions, Beverages Spirits & Vinegar, Ships Boats & Floating Structures และ Optical Photographic Measuring Instruments

ผลต่อการค้าและการลงทุนของไทย

1. แม้ว่าส่วนแบ่งตลาดสินค้านำเข้าของเวียดนามในสิงคโปร์มีเพียงร้อยละ 1.55 (มค.-มีค.53) ก็ตาม (ไทยร้อยละ 3.69) แต่นับว่าเวียดนามเริ่มสร้างระดับส่วนแบ่งตลาดในการนำเข้าสินค้าสู่ตลาดสิงคโปร์ให้เพิ่มมากขึ้น

2. สินค้าของไทยและเวียดนามที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน โดยเฉพาะสินค้าผลไม้แปรรูป ได้แก่ มะม่วงอบแห้ง ขนุน/เผือกอบกรอบ, ผลไม้สด ได้แก่ แก้วมังกร จะได้รับการเลือกซื้อจากผู้บริโภคเป็นตัวเลือกที่หนึ่ง ก่อนที่จะเลือกซื้อสินค้าจากไทย

3. นักลงทุนสิงคโปร์หันเหความสนใจไปลงทุนในเวียดนามแทนไทย และนักลงทุนจากเวียดนามเข้ามาลงทุนในสิงคโปร์มากขึ้น ส่วนใหญ่ในสาขาการค้าส่ง/การค้าปลีก และร้านอาหาร เนื่องจากมีชาวเวียดนามเข้ามาประกอบธุรกิจ ทำงานและศึกษาเล่าเรียนในสิงคโปร์เพิ่มขึ้น

ข้อสังเกต

1. เวียดนามเป็นประเทศคู่แข่งการค้าสำคัญของไทยในสิงคโปร์ที่ต้องจับตามอง และเป็นประเทศคู่แข่งสำคัญในตลาดการค้าทั่วโลก โดยเฉพาะในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า จากการที่มีระดับค่าแรงงานต่ำ และสินค้าเกษตรส่งออกมีการพัฒนาอย่างมาก ส่วนสินค้าส่งออกสำคัญในปี 2553 ได้แก่ เสื้อผ้า รองเท้าและผลิตภัณฑ์ปลา ได้เริ่มมีการเติบโตขึ้น สามารถแข่งขันกับสินค้าเดิม ได้แก่ เฟอร์นิเจอร์และยางพารา ทั้งนี้ การเงินของประเทศเริ่มมีความมั่นคง ตัวชี้วัดหนึ่งที่บ่งถึงการเติบโต คือ อัตราแลกเปลี่ยนเงินตรามีความแตกต่างกันน้อยมากระหว่างตลาดมืดและธนาคาร

2. เวียดนามมีการนำเข้าเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะสินค้าผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม, cotton และ electronics และนำสินค้าเหล่านั้นไปใช้ในการผลิตเพื่อส่งออก

3. International Monetary Fund คาดว่า Gross Domestic Product (GDP) ของเวียดนามจะเติบโตในอัตราเฉลี่ยร้อยละ 7.2 ต่อปี ทำให้เวียดนามเป็นประเทศที่มีการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วที่สุดในเอเชีย รองจากจีนและ Cambodia

4. การลงนามในข้อตกลงการค้าเสรี(FTA) ต่างๆ เมื่อเร็วๆนี้ ระหว่าง ASEAN กับ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ส่งผลให้นักลงทุนพิจารณาในการจัดตั้งสถานที่การผลิตในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อให้ได้รับสิทธิประโยชน์จาก FTA ในการขยายตลาด ซึ่งเวียดนามได้รับความสนใจอย่างมากในปัจจุบัน

5. บริษัทใหญ่ๆ ที่ได้เข้าไปลงทุนในเวียดนาม ได้แก่ Samsung Electronics (ตค.52) ได้เปิดโรงงานผลิต handset มูลค่า 920 ล้านเหรียญสิงคโปร์ ณ เขตนอกเมืองฮานอย, Intel ผู้ผลิต chip ที่ใหญ่ที่สุดในโลกมีแผนการเปิด testing facility ในโฮจิมินห์ (ปลายปี 53) จะทำให้มีการจ้างงานใหม่ 4,000 อัตรา, Japan’s Kobe Steel (มีค. 53) ได้รับสัญญาการสร้างโรงงานผลิต iron ore มูลค่า 1.37 พันล้านเหรียญสิงคโปร์

6. เวียดนามกำลังพัฒนาประเทศด้านโครงสร้างพื้นฐานเศรษฐกิจและความปลอดภัยในสังคม รวมถึงจะปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศมีการเติบโตต่อไปในระยะยาว คาดหวังว่า ในปี 2553 การส่งออกจะขยายตัวร้อยละ 7.5 และ GDP อยู่ที่ร้อยละ 5.5-7

สำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ สิงคโปร์

ที่มา: http://www.depthai.go.th


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ