ฮังการีไม่ได้รวยขึ้นเมื่อเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป

ข่าวเศรษฐกิจ Friday July 9, 2010 16:01 —กรมส่งเสริมการส่งออก

ค่า GDP ต่อหัว ยังคงอยู่ที่ 63% ส่วนสโลวาเกียเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ตัวเลขจากสำนักงานสถิติแห่งยุโรป (Eurostat) แสดงถึงรายได้ต่อหัวในสหภาพยุโรป 27 ประเทศในปี 2009 โดยเริ่มจากบัลแกเรียที่มี GDP ต่อหัวที่ 41% จนถึงลักเซมเบิร์กที่มี GDP ต่อหัวที่ 268% ฮังการีเป็น 1 ใน 12 ประเทศที่เข้าเป็นสมาชิกอยู่ตั้งแต่ปี 2004 และเป็นประเทศเดียวเท่านั้นที่ไม่มีการเพิ่มขึ้นของค่า GDP ต่อหัวโดยยังคงอยู่ที่ระดับ 63%

ลักเซมเบิร์กอยู่ในภาวะที่ผิดไปจากกฏเกณฑ์ ในความเป็นจริงการคำนวณตัวเลขต่อหัว จะอยู่บนพื้นฐานของผู้อยู่อาศัยในประเทศนั้น แต่ในขณะที่ลักเซมเบิร์ก มีคนทำงานมากมายที่มาจากนอกประเทศ ไอร์แลนด์มาเป็นอันดับ 2 ที่ 131% ประเทศที่อยู่ในกลุ่ม 10% ของสหภาพยุโรปคือ ฟินแลนด์ (110%) ฝรั่งเศส สเปน อิตาลี ไซปรัส และอย่างน่าประหลาดใจคือกรีซ (95%) สำหรับการสำรวจกลุ่มประเทศที่ไม่ใช่ EU แอลเบเนียมาอันดับท้ายสุดที่ 27% ประเทศที่ผลงานดีที่สุดของกลุ่มสมาชิกใหม่ของสหภาพยุโรปมาจาก สโลวาเกีย ซึ่งค่า GDP ต่อหัว เพิ่มขึ้นจาก 57 เป็น 72% ภายใน 5 ปี

ตัวเลขสำหรับแต่ละประเทศอยู่บนพื้นฐานของ “อำนาจในการซื้อ” (Purchasing Power Standards) แต่ทั้งนี้คงต้องพิจารณาถึงผลจากการตั้งราคาสินค้าที่แตกต่างกันระหว่างประเทศสมาชิกทั้งหลาย ถึงแม้จะมีข้อกำหนดพื้นฐานในการเปรียบเทียบของแต่ละประเทศ แต่ผู้รวบรวมรายงาน ยังได้ให้ความคิดเห็นว่า บางครั้งข้อมูลที่ได้อาจจะไม่สามารถยืนยันความเป็นจริงเสมอไป เพราะระดับของความไม่แน่นอนจากฐานราคา บัญชีรายได้ของประชาชาติ และ วิธีการคำนวณอำนาจการซื้อ (PPPs) ที่แตกต่างกันแต่ละประเทศ ในการที่จะตีความตัวชี้วัดในอันดับที่ใกล้เคียงกัน

ประเทศที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากภาวะของวิกฤติเศรษฐกิจโลก ประสบปัญหาความมั่งคั่งลดลงเช่นกัน โดยเฉพาะไอร์แลนด์และกลุ่มประเทศบอลติก (Baltic States) เห็นได้เด่นชัดถึงความสูญเสียมากที่สุด แต่ประเทศที่รวยที่สุดบางประเทศเช่น เดนมาร์ค เนเธอร์แลนด์ ฟินแลนด์ และลักเซมเบิร์ก (รวยที่สุดในยุโรป) ก็ประสบปัญหาการสูญเสียเช่นกัน ไอร์แลนด์ยังคงเป็นประเทศที่รวยที่สุดอันดับ 2 ใน EUในปี 2009 ด้วยค่าเฉลี่ย GDP ในส่วนของอำนาจการซื้อเป็น 131% ประเทศที่มีระดับรายได้ขั้นกลาง เช่น ฝรั่งเศส สเปน อิตาลี หรือ กรีซ กลับไม่ประสบปัญหาการสูญเสียมากนัก

เมื่อพิจารณาเฉพาะประเทศแถบยุโรปกลาง มีข้อสังเกตุว่ากลุ่มประเทศบอลติก (Baltic States) ได้รับผลกระทบอย่างหนักคือ ลิทัวเนีย และลัตเวีย ส่วนเอสโตเนีย (ประเทศที่จะเริ่มใช้เงินสกุลยูโรในปี 2011) ประสบปัญหาการลดลงอย่างมากเช่นกัน มีผลทำให้อยู่ในตำแหน่งที่ต่ำกว่าฮังการีเพียงเล็กน้อย (เอสโตเนีย อยู่ในฐานะที่มั่งคั่งกว่าฮังการีตั้งแต่ปี 2006) เนื่องมาจากการตรึงระบบอัตราแลกเปลี่ยนเงินที่ตายตัว และประเทศต้องการเงินลงทุนอย่างมากจากต่างชาติ เมื่อสถานการณ์เศรษฐกิจเลวลง เงินส่วนนี้จึงลดลงอย่างรวดเร็วเช่นกัน

ถ้ามอง 2 ประเทศที่ใช้เงินยูโร ในเขตยุโรปกลาง สโลวาเกีย และ สโลวีเนีย จะเห็นได้ชัดเจนว่า สโลวาเกียมี GDP ต่อหัวอยู่ที่ 72% ของค่าเฉลี่ยยุโรปทั้งในปี 2008 และ 2009 ส่วนสโลวีเนีย ลดจาก 91% เป็น 86% แสดงให้เห็นว่า ความมั่งคั่งที่สโลวีเนีย เพลิดเพลินอยู่ในฐานะที่พัฒนามากที่สุดในแถบยุโรปกลางนั้น เป็นไปโดยไม่มีรากฐานที่ยั่งยืน ในขณะที่สาธารณรัฐเช็ค ยังคงรักษาตำแหน่งเดิม (80%) ฮังการีลดลงเพียงเล็กน้อยจาก 64% ในปี 2008 เป็น 63% เมื่อปีที่ผ่านมา แต่ในขณะที่โปแลนด์ ขยายตัวอย่างน่าประทับใจเมื่อปีที่แล้ว ถือว่าเป็นประเทศเดียวที่หลีกเลี่ยงผลกระทบของภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ และปรับตำแหน่งจาก 56%ในปี 2008 เป็น 61% เมื่อปีที่แล้ว ถือเป็นผลงานที่ยิ่งใหญ่ โดยการปรับลดค่าเงิน Zloty และดำเนินนโยบายงบประมาณสวนกระแส คือเพิ่มงบประมาณการใช้จ่าย ในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเป็นส่วนใหญ่

จากภาพรวมจะเห็นแนวทางการพัฒนาที่แตกต่างกัน แต่สุดท้ายคงหลีกเลี่ยงไม่ได้ว่าจะยั่งยืนแค่ไหน แต่ละประเทศอาจจะประสบกับภาวะขึ้นและลง ความยืดหยุ่นในการกำหนดอัตราการแลกเปลี่ยน และนโยบายการคลัง จะเป็นเครื่องมือในการช่วยพยุงเศรษฐกิจจากภาวะวิกฤติภายนอกได้ อย่างไรก็ตาม การพึ่งพาการเงินภายนอก และการใช้จ่ายงบประมาณที่ฟุ่มเฟือย ในระยะยาวแล้ว เป็นอันตรายต่อความยั่งยืนของการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจได้

ที่มา: http://www.depthai.go.th


แท็ก สหภาพยุโรป   GDP   tat  

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ