ทำเนียบรัฐบาล--24 เม.ย.--บิสนิวส์
วันนี้ (4 เมษายน 2541) เวลา 12.00 น. นายกรัฐมนตรีอังกฤษ นายโทนี แบลร์ พร้อมด้วยผู้นำจากประเทศสมาชิก รวมทั้งประเทศไทย จำนวน 25 ประเทศ และประธานคณะกรรมาธิการยุโรป ได้เข้าร่วมพิธีปิดการประชุม ณ Churchill Auditorium ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ และประธานาธิบดีเกาหลี (ในฐานะผู้จะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมอาเซ็มครั้งที่ 3) ได้ขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ตามลำดับ โดยนายกรัฐมนตรีอังกฤษได้กล่าวว่า
"เมื่อวานนี้ เราได้มีแถลงการณ์เกี่ยวกับวิกฤตการณ์ทางการเงินในเอเชีย โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อแสดงความห่วงใยและความจริงจัง และเพื่อส่งเสริมงานสำคัญในการฟื้นฟูความเชื่อมั่นในภูมิภาคเอเชีย ถ้อยแถลงดังกล่าวยังแสดงความมุ่งมั่นที่จะให้เห็นการคลี่คลายของสถานการณ์ที่เจ็บปวด อันนำไปสู่ความเข้มแข็งและความมีเสถียรภาพมากขึ้นในระยะยาว ทั้งนี้ ประเทศสมาชิกได้มีความเห็นพ้องในหลักการที่ชัดเจน 3 ประการด้วยกันคือ 1) ความจำเป็นในการเปิดกว้าง (openness) และความโปร่งใส (transparency) 2) การยึดมั่นในการปรับโครงสร้างทางการเงินทั้งในส่วนภายในประเทศและระหว่างประเทศ และ 3) ความสำคัญในการเปิดตลาดของประเทศสมาชิกทั้งในยุโรปและเอเชีย ตลอดจนการต่อต้านลัทธิปกป้องทางการค้าอย่างจริงจัง"
ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีอังกฤษยังได้กล่าวด้วยว่า บรรดาประเทศสมาชิกได้เห็นพ้องร่วมกันในการริเริ่มสำคัญ 2 ประการ คือ การจัดตั้ง ASEM Trust Fund ภายใต้ธนาคารโลก และศูนย์กลางการปรับโครงสร้างทางการเงิน จะเป็นประโยชน์สำคัญในการจัดส่งผู้เชี่ยวชาญทางเทคนิคที่จำเป็นเข้ามาให้คำแนะนำและช่วยเหลือ และการแก้ปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อประชาชน อันเนื่องมาจากวิกฤตการณ์ยุ่งยากทางการเงินในปัจจุบัน
อนึ่ง ภายหลังพิธีปิดการประชุมแล้ว นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ญี่ปุ่น ไทยและประธานคณะกรรมาธิการยุโรป ได้เดินทางไปยัง Media Centre เพื่อร่วมกันแถลงข่าวแก่สื่อมวลชนและตอบข้อซักถามของสื่อมวลชน ซึ่งในส่วนของนายกรัฐมนตรีอังกฤษได้กล่าวอย่างชัดเจนว่า ยุโรปจะยังคงให้ความร่วมมือกับเอเชียในการแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจและการเงินต่อไป พร้อมกับให้ความเชื่อมั่นว่า ยุโรปจะไม่ทอดทิ้งเอเชียในยามประสบวิกฤตทางเศรษฐกิจ ดังเช่นที่ประเทศในเอเชียมีความวิตกกังวล และว่า ความร่วมมือระหว่างภูมิภาคทั้งสองจะส่งผลดีในการฟื้นฟูความเชื่อมั่นในศักยภาพของภูมิภาคเอเชีย และการขยายการค้าการลงทุนร่วมกัน
พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรี นายชวน หลีกภัย ยังได้ตอบข้อซักถามในส่วนที่เกี่ยวกับวิกฤตการณ์ในไทยและภูมิภาคเอเชีย และบทบาทของยุโรปในการเข้ามาให้ความร่วมมือในการแก้ปัญหาว่าในความเห็นของผมนั้น สถานะของไทยแตกต่างไปจากการประชุมอาเซ็ม ครั้งที่ 1 ซึ่งไทยเป็นเจ้าภาพ เมื่อ 2 ปี ก่อนนั้น ภูมิภาคเอเชียกำลังรุ่งเรืองและเป็นที่สนใจของทั่วโลก แต่ในการประชุมครั้งนี้ เรามาแบบมีปัญหา "เราไม่มั่นใจว่า ยุโรปจะยังให้ความสำคัญและให้ความสนใจภูมิภาคเอเชียอีกหรือไม่ ซึ่งเป็นสิ่งที่วิตกกังวลกันตั้งแต่แรก" อย่างไรก็ดี ผลจากการประชุมในช่วง 2 วันที่ผ่านมา ได้ประจักษ์ชัดว่า ผู้นำในประเทศยุโรปต่างให้ความสนใจและร่วมมือในการแก้ไขปัญหาวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจในเอเชีย รวมทั้ง ยังได้ให้ข้อคิดที่เป็นประโยชน์ นอกจากนี้ ยังมีการเสนอแนวทางที่เป็นรูปธรรมในการแก้ปัญหา ซึ่งนายกรัฐมนตรีอังกฤษและนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นได้กล่าวแล้วถึงความริเริ่มในการจัดส่งผู้เชี่ยวชาญมาร่วมศึกษาวิกฤตการณ์ในเอเชีย เพื่อเพิ่มพูนการลงทุนและการค้าร่วมกันให้มากยิ่งขึ้น สิ่งนี้นับเป็นความร่วมมือที่เป็นรูปธรรมในการแก้ไขปัญหาที่ประสบในภูมิภาคเอเชียในขณะนี้ ในเบื้องต้นจึงกล่าวได้ว่า ยุโรปได้แสดงท่าทีชัดเจนว่าให้ความสนใจในการร่วมแก้ไขปัญหาในภูมิภาคเอเชีย แต่ผลในทางปฏิบัติจะต้องติดตามต่อไป--จบ--
วันนี้ (4 เมษายน 2541) เวลา 12.00 น. นายกรัฐมนตรีอังกฤษ นายโทนี แบลร์ พร้อมด้วยผู้นำจากประเทศสมาชิก รวมทั้งประเทศไทย จำนวน 25 ประเทศ และประธานคณะกรรมาธิการยุโรป ได้เข้าร่วมพิธีปิดการประชุม ณ Churchill Auditorium ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ และประธานาธิบดีเกาหลี (ในฐานะผู้จะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมอาเซ็มครั้งที่ 3) ได้ขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ตามลำดับ โดยนายกรัฐมนตรีอังกฤษได้กล่าวว่า
"เมื่อวานนี้ เราได้มีแถลงการณ์เกี่ยวกับวิกฤตการณ์ทางการเงินในเอเชีย โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อแสดงความห่วงใยและความจริงจัง และเพื่อส่งเสริมงานสำคัญในการฟื้นฟูความเชื่อมั่นในภูมิภาคเอเชีย ถ้อยแถลงดังกล่าวยังแสดงความมุ่งมั่นที่จะให้เห็นการคลี่คลายของสถานการณ์ที่เจ็บปวด อันนำไปสู่ความเข้มแข็งและความมีเสถียรภาพมากขึ้นในระยะยาว ทั้งนี้ ประเทศสมาชิกได้มีความเห็นพ้องในหลักการที่ชัดเจน 3 ประการด้วยกันคือ 1) ความจำเป็นในการเปิดกว้าง (openness) และความโปร่งใส (transparency) 2) การยึดมั่นในการปรับโครงสร้างทางการเงินทั้งในส่วนภายในประเทศและระหว่างประเทศ และ 3) ความสำคัญในการเปิดตลาดของประเทศสมาชิกทั้งในยุโรปและเอเชีย ตลอดจนการต่อต้านลัทธิปกป้องทางการค้าอย่างจริงจัง"
ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีอังกฤษยังได้กล่าวด้วยว่า บรรดาประเทศสมาชิกได้เห็นพ้องร่วมกันในการริเริ่มสำคัญ 2 ประการ คือ การจัดตั้ง ASEM Trust Fund ภายใต้ธนาคารโลก และศูนย์กลางการปรับโครงสร้างทางการเงิน จะเป็นประโยชน์สำคัญในการจัดส่งผู้เชี่ยวชาญทางเทคนิคที่จำเป็นเข้ามาให้คำแนะนำและช่วยเหลือ และการแก้ปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อประชาชน อันเนื่องมาจากวิกฤตการณ์ยุ่งยากทางการเงินในปัจจุบัน
อนึ่ง ภายหลังพิธีปิดการประชุมแล้ว นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ญี่ปุ่น ไทยและประธานคณะกรรมาธิการยุโรป ได้เดินทางไปยัง Media Centre เพื่อร่วมกันแถลงข่าวแก่สื่อมวลชนและตอบข้อซักถามของสื่อมวลชน ซึ่งในส่วนของนายกรัฐมนตรีอังกฤษได้กล่าวอย่างชัดเจนว่า ยุโรปจะยังคงให้ความร่วมมือกับเอเชียในการแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจและการเงินต่อไป พร้อมกับให้ความเชื่อมั่นว่า ยุโรปจะไม่ทอดทิ้งเอเชียในยามประสบวิกฤตทางเศรษฐกิจ ดังเช่นที่ประเทศในเอเชียมีความวิตกกังวล และว่า ความร่วมมือระหว่างภูมิภาคทั้งสองจะส่งผลดีในการฟื้นฟูความเชื่อมั่นในศักยภาพของภูมิภาคเอเชีย และการขยายการค้าการลงทุนร่วมกัน
พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรี นายชวน หลีกภัย ยังได้ตอบข้อซักถามในส่วนที่เกี่ยวกับวิกฤตการณ์ในไทยและภูมิภาคเอเชีย และบทบาทของยุโรปในการเข้ามาให้ความร่วมมือในการแก้ปัญหาว่าในความเห็นของผมนั้น สถานะของไทยแตกต่างไปจากการประชุมอาเซ็ม ครั้งที่ 1 ซึ่งไทยเป็นเจ้าภาพ เมื่อ 2 ปี ก่อนนั้น ภูมิภาคเอเชียกำลังรุ่งเรืองและเป็นที่สนใจของทั่วโลก แต่ในการประชุมครั้งนี้ เรามาแบบมีปัญหา "เราไม่มั่นใจว่า ยุโรปจะยังให้ความสำคัญและให้ความสนใจภูมิภาคเอเชียอีกหรือไม่ ซึ่งเป็นสิ่งที่วิตกกังวลกันตั้งแต่แรก" อย่างไรก็ดี ผลจากการประชุมในช่วง 2 วันที่ผ่านมา ได้ประจักษ์ชัดว่า ผู้นำในประเทศยุโรปต่างให้ความสนใจและร่วมมือในการแก้ไขปัญหาวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจในเอเชีย รวมทั้ง ยังได้ให้ข้อคิดที่เป็นประโยชน์ นอกจากนี้ ยังมีการเสนอแนวทางที่เป็นรูปธรรมในการแก้ปัญหา ซึ่งนายกรัฐมนตรีอังกฤษและนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นได้กล่าวแล้วถึงความริเริ่มในการจัดส่งผู้เชี่ยวชาญมาร่วมศึกษาวิกฤตการณ์ในเอเชีย เพื่อเพิ่มพูนการลงทุนและการค้าร่วมกันให้มากยิ่งขึ้น สิ่งนี้นับเป็นความร่วมมือที่เป็นรูปธรรมในการแก้ไขปัญหาที่ประสบในภูมิภาคเอเชียในขณะนี้ ในเบื้องต้นจึงกล่าวได้ว่า ยุโรปได้แสดงท่าทีชัดเจนว่าให้ความสนใจในการร่วมแก้ไขปัญหาในภูมิภาคเอเชีย แต่ผลในทางปฏิบัติจะต้องติดตามต่อไป--จบ--