ครม.เห็นชอบมาตรการป้องกันควบคุมการระบาด“โรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา”ในประเทศและการระดม ส่งความช่วยเหลือด้านต่างๆ ไปยังแอฟริกาตะวันตก

ข่าวทั่วไป Tuesday October 14, 2014 17:57 —สำนักโฆษก

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผยคณะรัฐมนตรีเห็นชอบมาตรการเตรียมความพร้อมป้องกันและควบคุมการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลาทุกภาคส่วนของไทย และแผนการเตรียมระดมส่งความช่วยเหลือ ด้านต่างๆไปยังแอฟริกาตะวันตก พร้อมให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขเคร่งครัดขั้นตอนปฏิบัติในการดูแลผู้ป่วยตามมาตรฐานที่กำหนด ภายหลังมีบุคลากรสาธารณสุขในต่างประเทศ ติดเชื้อจากขั้นตอนการถอดชุดป้องกันการติดเชื้อ

บ่ายวันนี้( 14 ตุลาคม 2557) ที่ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล กทม.ศาสตราจารย์นายแพทย์รัชตะ รัชตะนาวิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรค แถลงข่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี ว่า ในวันนี้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้รับทราบสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสอีโบลาและเห็นชอบมาตรการป้องกันและควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลาตามที่ กระทรวงสาธารณสุขเสนอ รวมทั้งเห็นชอบแผนการส่งความช่วยเหลือด้านต่างๆ อาทิ เงินช่วยเหลือ วัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จำเป็น เพิ่มเติมให้แก่ 3 ประเทศในแอฟริกาตะวันตกคือกินี ไลบีเรีย และเซียร์ร่าลีโอนตามการร้องขอขององค์การอนามัยโลกและองค์การสหประชาชาติ

ศาสตราจารย์นายแพทย์รัชตะ กล่าวว่า แม้โอกาสที่โรคติดเชื้อไวรัสอีโบลาจะระบาดอย่างกว้างขวางในประเทศไทยจะมีน้อยก็ตาม แต่จะต้องอยู่บนความไม่ประมาท กระทรวงสาธารณสุขได้ร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ในประเทศที่เกี่ยวข้องทั้งในคนและในสัตว์ ติดตามสถานการณ์การระบาดโรคนี้อย่างใกล้ชิด และได้ออกประกาศให้โรคติดเชื้อไวรัสอีโบลาเป็นโรคติดต่ออันตรายตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2553 เพื่อให้เจ้าหน้าที่พนักงานสาธารณสุขมีอำนาจในการคัดกรองและติดตามผู้เดินทางมาจากพื้นที่โรคระบาดดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ จนถึงปัจจุบันคัดกรองผู้เดินทางไปแล้ว 2,126 ราย ทุกรายมีสุขภาพดี จนถึงขณะนี้ยังไม่พบ การติดเชื้อโรคนี้ในประเทศไทย

นอกจากนี้ ยังได้ร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ทั้งวิทยาลัยแพทย์ เอกชน รวมทั้งองค์กรนานาชาติ เช่น องค์การอนามัยโลก ศูนย์ป้องกันและควบคุมโรคสหรัฐอเมริกา วางระบบการเฝ้าระวังป้องกันและควบคุมโรคที่รวดเร็ว รวมทั้งวางระบบการรักษาและการส่งต่อที่มีประสิทธิภาพ โดยมีมาตรการเตรียมความพร้อมรับมือโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา 5 ด้าน ได้แก่ 1.การจัดระบบเฝ้าระวังโรคทั้งในคนและในสัตว์ มีระบบการคัดกรองที่ด่านควบคุมโรคที่โรงพยาบาล รวมทั้งในชุมชน 2.การดูแลรักษาผู้ป่วยและป้องกันการติดเชื้อในโรงพยาบาล มีการเตรียมห้องแยกผู้ป่วยการดูแลรักษาผู้ป่วยตามแนวทางมาตรฐาน รวมถึงการควบคุมการติดเชื้ออย่างเคร่งครัด 3.การพัฒนาระบบการตรวจชันสูตรทางห้องปฏิบัติการโดยกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ รับผิดชอบร่วมกับมหาวิทยาลัยและหน่วยงานอื่นๆ เป็นเครือข่ายห้องปฏิบัติการของประเทศ สามารถตรวจยืนยันเชื้อได้ภายใน 24 ชั่วโมง

4.การสื่อสารให้ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องแก่ประชาชนในการป้องกันโรค ตลอดจนสื่อสารถึงผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้อง จากการสำรวจพบว่า ประชาชนร้อยละ 80 มีความรู้ ความเข้าใจเรื่องโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา และ5.การบริหารจัดการแบบบูรณาการหลายภาคส่วนโดยมีศูนย์ประสานปฏิบัติการตอบโต้ภาวะฉุกเฉินที่กรมควบคุมโรค ซึ่งบูรณาการการทำงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สามารถประสานสั่งการ เชื่อมโยงการทำงานทั้งประเทศ กรณีพบผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา นอกจากนี้ ได้มีการเตรียมพร้อมระบบรับส่งต่อผู้ป่วย ฝึกซ้อมแผนใน 30 จังหวัด ที่มีความเสี่ยงที่อาจมีผู้เดินทางจากเขตติดโรค เข้ามายังประเทศไทยทั้งทางอากาศ ทางบกและทางเรือ สร้างความมั่นใจว่าประเทศไทยมีพร้อมรับมือหากมีผู้ติดเชื้อเข้ามา

ทั้งนี้ องค์การอนามัยโลกรายงาน ณ วันที่ 8 ตุลาคม 2557 มีผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสอีโบลารวม 8,399 คน เสียชีวิต 4,033 คน หรือประมาณร้อยละ 50 โดยประเทศกินี ไลบีเรีย และเซียร์ร่าลีโอน มีสถานการณ์รุนแรงที่สุด ยังมีการระบาดในวงกว้าง ส่วนที่ประเทศสหรัฐอเมริกาและสเปนที่มีรายงานบุคลากรสาธารณสุขติดเชื้อจากผู้ป่วย ซึ่งผู้เชี่ยวชาญระบุว่าอาจเกิดจากจุดอ่อนของเจ้าหน้าที่ในขั้นตอนการถอดอุปกรณ์ป้องกันตนเอง ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขจะนำมาเป็นกรณีศึกษา เพื่อถ่ายทอดให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขไทยเข้มงวดขั้นตอนปฏิบัติในการดูแลผู้ป่วยตามมาตรฐานที่กำหนด ให้พึงระวังแม้จะมีอุปกรณ์ป้องกันการติดเชื้อทีมีประสิทธิภาพ แต่ต้องใช้อุปกรณ์ให้ถูกต้องตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด

สำหรับประชาชนมีส่วนสำคัญในการป้องกันและควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา โดยขอความร่วมมือหากไม่จำเป็นเร่งด่วน ขอให้หลีกเลี่ยงการเดินทางไปยังประเทศหรือพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคอีโบลา และหากเดินทางกลับมาหรือพบเห็นผู้ที่เดินทางกลับมาจากเขตติดโรคและป่วยภายใน 21 วัน ให้ไปที่โรงพยาบาลและแจ้งเจ้าหน้าที่สาธารณสุขทราบทันที เพื่อเข้าระบบเฝ้าระวังป้องกันและควบคุมโรค และหากป่วยจะได้เข้าสู่ระบบการรักษาทันที ซึ่งทั้งนี้ โรคติดเชื้อไวรัสอีโบลาไม่ติดต่อทางหายใจ การติดต่อโดยหลักจะเป็นการติดต่อโดยการสัมผัสเลือด น้ำเหลืองหรือสารคัดหลั่ง ผู้ที่มีความเสี่ยงมากกลุ่มหนึ่งคือแพทย์และบุคลากรสาธารณสุข

ตุลาคม3/7-8

14 ตุลาคม 2557

http://goo.gl/nhxOQv

ที่มา: http://www.thaigov.go.th


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ