นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า การเยือนในครั้งนี้ตามคำเชิญของนายกรัฐมนตรีกัมพูชาได้รับการต้อนรับอย่างสมเกียรติ บรรยากาศหารือเป็นมิตรไมตรีต่อกัน ไทย-กัมพูชา มีความใกล้ชิดต่อกันทางเขตแดน มีความขัดแย้งอยู่บ้างแต่วันนี้ได้มีการพูดคุยกันว่าเราเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ ต้องร่วมมือกันเพื่ออนาคตของทั้งสองประเทศและอาเซียน
สำหรับประเด็นการหารือไม่ได้มีการพูดถึงเรื่องความมั่นคงหรือเขตแดน เนื่องจากเราจะไม่ให้เส้นเขตแดนเป็นปัญหา เราจะเดินหน้าอาเซียนอย่างไรทั้งระบบ ไม่ว่าจะเป็นถนน โครงสร้างพื้นฐาน มีการเซ็น MOU เครือข่ายทางรถไฟ อรัญประเทศ-ปอยเปต เพื่อเป็นเส้นทางขนส่งสินค้า โดยนายกรัฐมนตรีเสนอให้มีการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ ลักษณะ Cluster เพื่อค้าขาย มีโรงงานผลิตขนาดเล็ก มีศูนย์รับซื้อสินค้าทางการเกษตรเพื่อให้เกิดเป็นเมืองชายแดน มีการปรับปรุงถนน เส้นทางระหว่างกัน มีการจัดศูนย์แรงงาน โดยนายกรัฐมนตรีกัมพูชาเห็นชอบทุกประการ ซึ่งเป็นการป้องกันการลักลอบข้ามแดนผิดกฎหมาย เพื่อให้ประชาชนไทย-กัมพูชา ข้ามกันไป-มาได้อย่างมีความสุข
ด้านแรงงาน ปัจจุบันมีแรงงานแบบเช้า-เย็นกลับ แรงงานตามฤดูกาล แรงงานรายปี ซึ่งทางกัมพูชาจะช่วยส่งทีมพิสูจน์สัญชาติ เพิ่มให้เป็น 15 ชุดจากเดิม 6 ชุด
นอกจากนี้มีการหารือเกี่ยวกับการจัดประชุมระหว่างผู้นำอย่างไม่เป็นทางการ (Annual Retreat) เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนความสัมพันธ์ โดยให้มีอย่างน้อยปีละครั้ง เริ่มตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป
ด้านเศรษฐกิจ นอกจากการพัฒนาเขตเศรษฐกิจข้ามแดน การที่เราจะเชื่อมโยงกับใคร เราต้องดูว่าเขาต้องการอะไร นายกรัฐมนตรีกัมพูชาอยากให้ผู้ประกอบการไทยเข้ามาผลิตน้ำผลไม้ เพราะเขามีผลผลิตอยู่แล้ว รัฐบาลก็ต้องคอยส่งเสริมให้ตรงกับความต้องการของประเทศเพื่อนบ้าน การลงทุนต้องเน้นให้โอกาสการลงทุนที่ตรงกับเราความต้องการ
การขนส่ง ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องให้เปิดจุดผ่านแดนถาวร บ้านหนองเอียน-สตึงบท เพื่อบรรเทาความแออัดที่ปอยเปตและไทย มีการขอเพิ่มโควตารถบรรทุกจาก 40 คันเป็น 500 คัน ซึ่งทางการกัมพูชาก็ตามตกลง
เรื่องจุดผ่านแดน ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องจะมีการยกระดับ 4 จุดได้แก่ 1. ช่องอาเซะ จ. พระวิหาร-ช่องอานม้า จ. อุบลราชธานี 2. พนมได จ.พระตะบอง-บ.เขาดิน จ. สระแก้ว 3. บ. ทมอดา จ.โพธิสัต-บ.ท่าเส้น จ.ตราด และ 4. ช่องจุ๊บโกกี จ.อุดรมีชัย-ช่องสายตะกู จ.บุรีรัมย์
นอกจากนี้ กัมพูชาได้ขอให้เราร่วมมือแก้ไขปัญหาภัยพิบัติทุกประเภท น้ำท่วม ภัยแล้ง ไฟป่า เนื่องจากไทยมีประสบการณ์และมีความพร้อม
ที่มา: http://www.thaigov.go.th