รองโฆษกรัฐบาลเผยนายกรัฐมนตรีมอบก.มหาดไทยร่วม ก.พาณิชย์กำหนดหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคให้เหมาะสมเป็นธรรมต่อประชาชน

ข่าวทั่วไป Tuesday January 6, 2015 16:29 —สำนักโฆษก

วันนี้ (6 ธ.ค.58) เวลา 14.00 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งมี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานฯ พลตรี สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แถลงผลการประชุมฯ ถึงเรื่องที่นายกรัฐมนตรีปรารภและสั่งการต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญ ดังนี้

นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวขอบคุณคณะรัฐมนตรี ข้าราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนที่ได้ช่วยกันทำหน้าที่ในการอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนในการเดินทางกลับบ้านและดูแลความปลอดภัยในช่วงเทศกาลปีใหม่ด้วย อย่างไรก็ตามแม้ปีนี้อัตราการศูนย์เสียชีวิตและอัตราการเกิดอุบัติเหตุลดลงจากปีที่แล้ว แต่ยังไม่เป็นที่น่าพอใจของรัฐบาล เพราะเรื่องของความปลอดภัยและชีวิตถือเป็นเรื่องสำคัญ ดังนั้นทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ต้องทำหน้าที่อย่างเต็มที่ต่อไปในการที่จะดูแลเรื่องความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนต่อไป พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวบรวมรายละเอียดสถิติที่ชัดเจนว่ามีการเกิดเหตุที่ใดบ้าง มีประเด็นเรื่องใด ตลอดจนมีสาเหตุและจุดการเกิดจากอะไร ทั้งนี้ให้ได้ข้อสรุปภายใน 1 เดือน เพื่อจะได้นำมาปรับปรุงแก้ไขและลดจำนวนการสูญเสียและการเกิดอุบัติเหตุให้ได้ในช่วงวันหยุดยาวและวันนักขัตฤกษ์โอกาสต่อไป

นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงเรื่องราคาสินค้าในประเทศว่า จากการติดตามข้อมูลพบมีราคาสินค้าในประเทศบางรายการ เช่น เครื่องอุปโภคบริโภค หรืออาหารต่าง ๆ มีราคาสูงจนเกินไป จึงได้มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงพาณิชย์ ติดตามเรื่องดังกล่าวและให้มีการดำเนินการกำหนดหลักเกณฑ์และออกกฎ กติกาที่ชัดเจน เพื่อแก้ไขปัญหาไม่ให้ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคบางรายการสูงเกินกว่าที่ควรจะเป็น ทั้งนี้ให้ยึดหลักการราคาน้ำมันเป็นหลัก โดยให้เทียบสัดส่วนอัตราราคาน้ำมันกับราคาสินค้าแต่ละประเภทว่าเกี่ยวข้องกับราคาน้ำมันอย่างไร เช่น เมื่อราคาน้ำมันลดลงราคาสินค้าควรจะลดลงมาจำนวนเท่าไร เป็นต้น

ส่วนการจัดงานวันเด็กแห่งชาติประจำปี 2558 นายกรัฐมนตรี ได้มีคำขวัญว่า “ความรู้ คู่คุณธรรม นำสู่อนาคต” โดยปีนี้จะเน้นเรื่องค่านิยม 12 ประการ อย่างไรก็ตามนายกรัฐมนตรี ขอให้ระมัดระวังและทำความเข้าใจกับทุกหน่วยงานที่จัดกิจกรรมงานวันเด็กฯ เพราะกิจกรรมวันเด็กฯ ไม่ได้หมายความว่าต้องการให้เด็กมาท่องเรื่องของค่านิยม แต่เป็นการสร้างพื้นฐานให้เด็ก เยาวชน และประชาชน ได้รู้ว่าถ้าปฏิบัติตนและยึดหลักในเรื่องของคุณธรรม 12 ประการ ตนเอง ครอบครัวและสังคมจะดีขึ้นอย่างไร และถึงแม้ว่าได้มีการนำไปปฏิบัติแล้วปัญหาไม่ได้ถูกแก้ไขทั้งหมดแต่อย่างน้อยก็สามารถยกระดับสังคมให้ดีขึ้น

รวมทั้ง นายกรัฐมนรี ต้องการให้มีการสอดแทรกเรื่องของความมั่นคง สังคมจิตวิทยา วัฒนธรรม ประเพณีที่ดีงามของไทยเข้าไปในกิจกรรมด้วย เพื่อให้เด็กและเยาวชนได้รับรู้ว่าวัฒนธรรมประเพณีที่ดีงามของไทยเป็นอย่างไร เพื่อจะได้ช่วยกันรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีที่ดีงามของไทยไว้ ขณะเดียวกันอาจให้มีการสอดแทรกเรื่องการเฝ้าระวังการแจ้งเหตุ หัวข้อข่าวสารสำคัญ เพื่อให้เด็กและเยาวชนได้ช่วยเจ้าหน้าที่ของรัฐในการแจ้งข้อมูลและเบาะแสต่าง ๆ เมื่อพบเหตุที่ไม่ปกติขึ้น เป็นต้น

นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงเรื่องการวิจัยและพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีว่า เมื่อครั้งที่ได้เดินทางไปประเทศจีน ได้สอบถามพบว่าจีนมีนักวิทยาศาสตร์ประมาณ 60,000 – 70,000 คน ซึ่งถ้าเทียบสัดส่วนกับประเทศไทยแล้วตัวเลขนักวิทยาของไทยอาจจะไม่ชัดเจน แต่คาดว่าตัวเลขของประเทศไทยยังน้อยอยู่มาก ซึ่งเรื่องนี้ส่งผลต่อเรื่องการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่าง ๆ นายกรัฐมนตรี จึงได้มอหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ ยุทธวงศ์) ดำเนินการเรื่องดังกล่าวให้เกิดผลเป็นรูปธรรมต่อไป โดยนายกรัฐมนตรีได้ให้แนวทางว่าอย่ามองในเรื่องของหน่วยงานราชการ เพราะหน่วยงานราชการอย่างเดียวขับเคลื่อนในเรื่องของการวิจัยพัฒนาและสร้างนักวิทยาศาสตร์ เป็นเรื่องยากลำบากพอสมควร จึงให้มีการตั้งโครงสร้างขึ้นมาและดึงภาคเอกชนเข้ามาทำงานร่วมกัน โดยต้องมีการทำงานที่เชื่อมโยงกันระหว่างโครงสร้างที่ตั้งขึ้นกับสถาบันการศึกษา และโรงงานอุตสาหกรรมต่าง ๆ เพื่อจะได้เริ่มกระบวนการตั้งแต่การส่งเสริมสนับสนุนให้มีความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ในสถาบันการศึกษาและมีการคิดค้นวิจัยพัฒนาจนถึงสามารถนำไปปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมได้ในระดับโรงงานอุตสาหกรรม ทั้งนี้ในเบื้องต้นต้องนำหลักการทางวิทยาศาสตร์ที่ผ่านมหรืองานวิจัยค้นคว้าที่มีอยู่แล้วมาเป็นต้นทุนก่อนเพื่อนำมาผลิตนวัตกรรมหรือสินค้าใหม่ ๆ ออกมา ซึ่งจะสามารถเป็นกำลังใจในการที่จะขับเคลื่อนต่อยอดไปได้

นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการปฏิรูปว่า มีส่วนสำคัญอยู่ 3 ส่วน คือ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) และรัฐบาล โดยที่ผ่านมาในฐานะที่เป็นนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้มีการติดตามการทำงานของ สนช. และสปช. พบว่าในหลายกรณีทั้งสองส่วนยังมีข้อมูลไม่เพียงพอ จึงได้มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ) ในการให้ข้อมูลกับ สนช.และสปช. ได้รับทราบว่ารัฐบาลมีข้อมูลเดิมอย่างไรบ้าง มีแนวความคิดในการปฏิรูปอะไร อย่างไร รวมถึงมีบรรทัดฐานขั้นต้นอย่างไร และมีอะไรเป็นต้นทุนบ้างแล้ว เพื่อ สนช.และสปช.จะได้นำไปเป็นแนวทางในการดำเนินการต่อไป

กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก

ที่มา: http://www.thaigov.go.th


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ