การประชุมคณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ ครั้งที่ ๒/๒๕๕๘

ข่าวทั่วไป Wednesday February 11, 2015 15:56 —สำนักโฆษก

การประชุมคณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ ครั้งที่ ๒/๒๕๕๘ วันพุธที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ เวลา ๑๐.๐๐ น. ห้องประชุมคณะรัฐมนตรี ชั้น ๒ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ทำเนียบรัฐบาล

คณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ หรือคณะกรรมการ PPP ในคราวประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล)

เป็นประธานการประชุม ได้มีมติดังนี้

๑. กำหนดให้กระทรวงการคลังออกกฎกระทรวงการคลังกำหนดให้โครงการที่มีมูลค่าตั้งแต่ ๕,๐๐๐ ล้านบาทขึ้นไป ดำเนินการตามหลักเกณฑ์และขั้นตอนที่กำหนดใน พ.ร.บ. PPP สำหรับโครงการที่มีมูลค่าระหว่าง ๑,๐๐๐ - ๕,๐๐๐ ล้านบาท ให้มีการแยกกระบวนการในการพิจารณาเป็น ๒ กรณี คือ

๑.๑ หากเป็นโครงการที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานและบริการสาธารณะ ให้ดำเนินการตาม พ.ร.บ. PPP

๑.๒ หากเป็นโครงการที่ไม่เป็นโครงสร้างพื้นฐานและบริการสาธารณะ เช่น การพัฒนาที่ดินของรัฐ

เชิงพาณิชย์ ให้ดำเนินการตามกระบวนการแบบผ่อนปรน เช่นเดียวกับกระบวนการสำหรับโครงการที่มีมูลค่าต่ำกว่า ๑,๐๐๐ ล้านบาท โดยเพิ่มให้มีขั้นตอนการกำกับดูแลและรายงานให้คณะกรรมการ PPP ทราบ และจัดทำฐานข้อมูลโครงการ PPP ต่อไป

สำหรับโครงการที่มีมูลค่าต่ำกว่า ๑,๐๐๐ ล้านบาท คณะกรรมการ PPP มอบหมายให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดเป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบโครงการได้ เพื่อให้โครงการขนาดเล็กที่มีจำนวนมากสามารถดำเนินการได้โดยไม่ล่าช้าและไม่เป็นภาระกับหน่วยงานเจ้าของโครงการมากเกินไป

๒. ในการดำเนินกระบวนการให้ภาคเอกชนเข้าร่วมลงทุนตามกฎหมาย PPP ในขณะนี้คณะกรรมการ PPP ได้ให้ความเห็นชอบกฎหมายลำดับรองเกือบหมดแล้ว เพื่อให้โครงการ PPP สามารถดำเนินการต่อไปได้อย่างคล่องตัวหลังจากที่หยุดชะงักมา ๒ ปี โดยกระบวนการที่กำหนดไว้ในกฎหมายลำดับรองเริ่มจาก :

๒.๑ หลักเกณฑ์และวิธีการคำนวณมูลค่าโครงการ โดยจะเป็นครั้งแรกที่มีการกำหนดวิธีการในการคำนวณมูลค่าโครงการทั้งเงินลงทุนและทรัพย์สินทั้งภาครัฐแลภาคเอกชนตลอดอายุโครงการเฉพาะที่ใช้ดำเนินโครงการเท่านั้น และให้หน่วยงานสามารถเลือกคำนวณส่วนใดก่อนก็ได้

๒.๒ กระบวนการประกาศเชิญชวนและการคัดเลือกเอกชน ซึ่งคงเป็นไปตามกฎระเบียบเดิมอยู่ แต่ปรับให้มีความชัดเจนและโปร่งใสมากขึ้น

๒.๓ มีการกำหนดหัวข้อสำคัญที่ต้องมีเป็นมาตรฐานในสัญญาร่วมลงทุน เช่น สิทธิและหน้าที่ของแต่ละฝ่าย การกำหนดอัตราค่าบริการและผลประโยชน์ตอบแทน และสัญญาร่วมลงทุนต้องไม่มีการต่ออายุสัญญาแบบอัตโนมัติ การไม่ให้เอกชนเปลี่ยนเงื่อนไขโครงการฝ่ายเดียวได้ โดยให้หน่วยงานเจ้าของโครงการพิจารณาถึงประเด็นสำคัญเหล่านี้ตั้งแต่วันที่จะเริ่มโครงการ ไม่เป็นปัญหาเหมือนที่ผ่านมา

๒.๔ ลักษณะการแก้ไขสัญญาร่วมลงทุนที่เป็นสาระสำคัญ เพื่อรักษาคุณภาพการให้บริการแก่ประชาชนและผลประโยชน์ของภาครัฐเป็นสำคัญ โดยการเปลี่ยนแปลงใดที่ส่งผลกระทบกับผลลัพธ์ตามวัตถุประสงค์ของโครงการ ผลประโยชน์ของภาครัฐ หรือเป็นการเพิ่มประโยชน์ให้แก่คู่สัญญาฝ่ายเอกชน จะต้องได้รับการพิจารณาอนุมัติ

จากคณะรัฐมนตรีก่อน ทำให้ลดปัญหาในการกำกับดูแลสัญญาและเพิ่มความโปร่งใสในการแก้ไขสัญญา

ดังนั้น ภายในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ กฎหมายลำดับรองทั้งหมดจะมีความครบถ้วน โครงการร่วมลงทุนต่างๆ สามารถดำเนินการได้

๓. เห็นชอบร่างแผนยุทธศาสตร์การให้เอกชนร่วมลงทุน (แผนยุทธศาสตร์ PPP) โดยแผนดังกล่าวได้แบ่งกิจการออกเป็น ๒ ประเภทคือ

๓.๑ กิจการที่ต้องมีภาคเอกชนร่วมลงทุน ๖ กิจการ ได้แก่

คมนาคมและขนส่ง (บก น้ำ อากาศ)

  • กิจการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนทางรางในเมือง
  • กิจการพัฒนาถนนที่มีการเก็บค่าผ่านทางในเมือง
  • กิจการพัฒนาท่าเรือขนส่งสินค้า
  • กิจการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูง (ต้องได้รับการยืนยันจากกระทรวงเจ้าสังกัด)

การสื่อสาร

  • กิจการพัฒนาโครงข่ายโทรคมนาคม
  • กิจการระบบอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง

๓.๒ กิจการที่รัฐส่งเสริมให้เอกชนร่วมลงทุน ๑๒ กิจการ ได้แก่

คมนาคมและขนส่ง (บก น้ำ อากาศ)

  • กิจการพัฒนาสถานีขนส่งบรรจุแยกและกระจายสินค้า
  • กิจการพัฒนาถนนที่มีการเก็บค่าผ่านทางระหว่างเมือง
  • กิจการบริหารจัดการและบำรุงรักษาระบบตั๋วร่วม
  • กิจการพัฒนาการดำเนินธุรกิจและการบริหารพื้นที่ท่าอากาศยาน

การจัดการคุณภาพน้ำชลประทานและสิ่งแวดล้อม

  • กิจการพัฒนาและบริหารจัดการระบบจัดการคุณภาพน้ำ
  • กิจการพัฒนาและบริหารจัดการระบบชลประทาน
  • กิจการพัฒนาระบบกำจัดมูลฝอย

การศึกษาสาธารณสุขและเศรษฐกิจ

  • กิจการพัฒนาสถานศึกษาของรัฐ
  • กิจการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรม
  • กิจการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสาธารณสุข
  • กิจการบริหารจัดการยาและครุภัณฑ์ทางการแพทย์
  • กิจการพัฒนาศูนย์การประชุมขนาดใหญ่ (Convention Center) ที่ใช้ทรัพย์สินของรัฐ

ซึ่ง สคร. จะได้นำร่างแผนดังกล่าวหารือกับกระทรวงเจ้าสังกัดเพื่อจัดทำ Project Pipeline และรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องภายในกลางเดือนมีนาคม และจะนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาในช่วงต้นเดือนเมษายน สุดท้ายแล้วคาดว่าจะสามารถประกาศแผนยุทธศาสตร์ PPP เพื่อให้ภาคเอกชนรับทราบ Project Pipeline กรอบระยะเวลา และรูปแบบการร่วมลงทุนของเอกชนในโครงการ PPP ต่างๆ ได้ภายในเดือนเมษายนหลังคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติ

ที่มา: http://www.thaigov.go.th


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ