“จักรมณฑ์” แจง สนช. หนุนพัฒนาอุตสาหกรรมต่อเนื่อง ทั้งปรับแก้กฎหมาย ตั้งเขต ศก.พิเศษ เชื่อไทยเป็นฮับในการกระจายสินค้าในอาเซียน

ข่าวทั่วไป Thursday March 26, 2015 15:53 —สำนักโฆษก

นายจักรมณฑ์ ผาสุกวนิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ให้การต้อนรับคณะกรรมาธิการการพาณิชย์ การอุตสาหกรรม และการแรงงาน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) นำโดยพลเอกสิงห์ศึก สิงห์ไพร ประธานคณะกรรมาธิการฯ พร้อมคณะ จำนวน 24 คน ในโอกาสเดินทางมาพบปะสนทนาและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในด้านการส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรม การพัฒนาผู้ประกอบการและประเด็นข้อกฎหมายที่มีปัญหาอุปสรรคในทางปฏิบัติของกระทรวงฯ

“คณะกรรมาธิการฯ มีความสนใจการดำเนินงานของกระทรวงในหลายด้าน อาทิ แนวทางการผลักดันแก้ไขกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศและที่เป็นอุปสรรคในทางปฏิบัติของกระทรวงฯ แนวทางการส่งเสริมการค้าชายแดนและเขตเศรษฐกิจพิเศษ การเตรียมความพร้อมและการใช้ประโยชน์จากการเข้าร่วมประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) และแนวทางการแก้ไขปัญหากรณีเกี่ยวกับเรื่องร้องเรียน

สำหรับประเด็นของการแก้ไขกฎหมายต่างๆที่เป็นอุปสรรคต่อการเพิ่มขีดความสามารถของการแข่งขันของประเทศทางกระทรวงอยู่ระหว่างการปรับปรุงหลายฉบับ อาทิ พ.ร.บ.แร่ พ.ศ.2510 ตลอดจนระเบียบและแนวปฏิบัติที่เกี่ยวข้องให้มีความทันสมัยสอดคล้องกับยุคปัจจุบัน ซึ่งขณะนี้ ร่าง พ.ร.บ.แร่ พ.ศ…อยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา รวมทั้งร่าง พ.ร.บ.มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พ.ศ….และการเตรียมดำเนินงานตาม พ.ร.บ.การอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ.2558

ส่วนการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ ผมได้ชี้แจงถึงเหตุผลและความจำเป็นของการจัดตั้งเขตดังกล่าวว่า เพื่อส่งเสริมให้เกิดการลงทุนในประเทศ อีกทั้งยังช่วยส่งเสริมการส่งออก เพราะช่วยลดต้นทุนในการประกอบการต่างๆ เช่น ค่าแรงงานราคาถูกจากประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษนี้ ยังช่วยทำให้ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางการกระจายสินค้าจากไทยไปยังประเทศต่างๆในอาเซียนด้วย โดยในปี 2558 นี้ อยู่ระหว่างดำเนินการสำรวจข้อมูลและพื้นที่เพื่อคัดเลือกพื้นที่ที่เหมาะสมต่อการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมใน 5 จังหวัดพื้นที่ชายแดน ประกอบด้วย จังหวัดตาก มุกดาหาร สระแก้ว สงขลา และจังหวัดตราด

ส่วนการเตรียมความพร้อมและใช้ประโยชน์จากตลาดที่ใหญ่ขึ้นในการเข้าร่วมประชาคมเศรษฐกิจอาเซียยน กระทรวงฯได้กำหนดกลไกขับเคลื่อนการดำเนินงาน และการดำเนินการด้านมาตรฐาน รวมทั้งบูรณาการการใช้ข้อมูลสารเคมีและวัตถุอันตรายร่วมกับ 6 หน่วยงาน ได้แก่ กรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) กรมวิชาการเกษตร สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กรมปศุสัตว์ กรมประมง และกรมธุรกิจพลังงาน ขณะเดียวกันได้พัฒนาระบบการบริหารจัดการสารเคมีและวัตถุอันตราย โดยที่ประเทศไทยจะพัฒนาระบบการอนุญาตวัตถุอันตราย ณ จุดเดียว” นายจักรมณฑ์ กล่าว

ส่วนกรณีการแก้ไขปัญหากรณีเกี่ยวกับเรื่องร้องเรียนต่างๆ กระทรวงฯ ได้เปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถร้องเรียนเกี่ยวกับปัญหาของโรงงานอุตสาหกรรมผ่าน Hotline สายด่วนรัฐมนตรี www.industry.go.th หรือสายด่วนกรมโรงงานอุตสาหกรรม 1564 หรือที่ www.diw.go.th ได้ โดยในระยะต่อไปจะมีการพัฒนาระบบการกำกับตรวจสอบโรงงานอุตสาหกรรมที่ได้มาตรฐาน และพัฒนาระบบการรับเรื่องร้องเรียนให้รวดเร็วขึ้น แก้ปัญหาได้ตรงจุด มีประสิทธิภาพ รวมทั้งแก้ไขกฎหมายให้มีความรัดกุม เน้นให้ผู้ก่อมลพิษสิ่งแวดล้อมต้องเป็นผู้ชดใช้

ที่มา: http://www.thaigov.go.th


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ