วันนี้ (18 ส.ค.58) เวลา 13.00 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะรัฐมนตรี ซึ่งมี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานฯ พลตรี สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แถลงผลการประชุมฯ ถึงเรื่องที่นายกรัฐมนตรีปรารภและสั่งการต่อที่ประชุมฯ สรุปสาระสำคัญ ดังนี้
นายกรัฐมนตรี ได้ชี้แจงให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีรับทราบถึงการให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับกรณีเหตุการณ์ระเบิดที่เกิดขึ้นบริเวณแยกราชประสงค์ กรุงเทพมหานคร โดยในนามรัฐบาลไทยขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งอีกครั้งไปยังผู้ที่ได้รับบาดเจ็บและครอบครัวของผู้เสียชีวิตทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ รัฐบาลขอให้คำยืนยันกับประชาชนว่าจะดูแลเรื่องการรักษาพยาบาล รวมทั้ง ดูแลผู้ที่เสียชีวิตและครอบครัวอย่างดีที่สุด ตลอดจนจะดำเนินการในเรื่องอื่น ๆ ตามที่ได้รับการขอร้อง โดยให้ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเป็นผู้รายงานรายละเอียดเรื่องดังกล่าวให้ที่ประชุมรับทราบ โดยส่วนสำคัญที่นายกรัฐมนตรีได้สั่งการคือเมื่อเกิดเหตุการณ์ขอให้มีการกันพื้นที่เกิดความชัดเจน เพื่อที่จะบริหารข้อมูลข่าวสารได้ ทำให้ประชาชนเกิดความปลอดภัยว่าจะไม่มีเหตุระเบิดเกิดขึ้นอีก ตลอดจนเพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถปฏิบัติงานได้เป็นไปอย่างสะดวก
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้รัฐบาลยังไม่ด่วนที่จะตัดสินหรือสรุปว่าสิ่งที่ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมีมูลเหตุจูงใจจากเรื่องใดหรือจากการปฏิบัติของกลุ่มใด ทั้งนี้ถึงแม้จะมีข้อสันนิฐานหลายกรณีที่เป็นสิ่งบอกเหตุหรือดัชนีบางประการที่จะชี้วัดว่าการเกิดเหตุนั้นน่าจะมาจากสิ่งหนึ่งสิ่งใดมากกันก็ตาม ซึ่ง ณ เวลานี้ นายกรัฐมนตรีไม่อยากให้ตัดประเด็นใดประเด็นหนึ่งออกไป แต่ให้รวบรวมหลักฐานทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นประจักษ์พยาน วัตถุพยานในพื้นที่เกิดเหตุ นิติวิทยาศาสตร์ รวมทั้ง ภาพถ่ายต่าง ๆ ที่เกิดจากกล้องทีวีวงจรปิด และภาพที่จะขอความร่วมมือจากประชาชน เพื่อนำมาประกอบการพิจารณาเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ชัดเจน
สำหรับยอดผู้ได้รับบาดเจ็บและผู้ที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าวล่าสุดมีตัวเลข ดังนี้ ผู้เสียชีวิต จำนวน 20 ราย เป็นชาวมาเลเซีย 2 ราย ชาวจีน 2 ราย ชาวฮ่องกง 2 ราย ชาวสิงคโปร์ 1 ราย ชาวไทย 5 ราย และยังไม่สามารถระบุสัญชาติได้อีก 8 ราย ส่วนผู้ได้รับบาดเจ็บจากการรวบรวมข้อมูลเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา มีจำนวน 125 ราย เป็นชาวมาเลเซีย 2 ราย ชาวจีน 28 ราย ชาวฮ่องกง 2 ราย ชาวไทย 42 ราย ชาวญี่ปุ่น 1 ราย ชาวสิงคโปร์ 2 ราย ชาวอินโดนีเซีย 1 ราย ชาวฟิลิฟปินส์ 1 ราย ชาวโอมาน 1 ราย ชาวมัลดีฟส์ 1 ราย และยังไม่สามารถระบุสัญชาติแน่นอนได้อีก จำนวนประมาณ 43 ราย
พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้คณะรัฐมนตรีเป็นตัวแทนรัฐบาลไปเยี่ยมผู้บาดเจ็บจากเหตุการณ์ระเบิดที่บริเวณแยกราชประสงค์เมื่อค่ำวานนี้ (17 สิงหาคม 2558) ที่เข้ารับการรักษาตัวอยู่ตามโรงพยาบาลต่าง ๆ ในเขตกรุงเทพมหานคร เพื่อเป็นขวัญกำลังใจ พร้อมมอบเงินช่วยเหลือเยียวยาในเบื้องต้นตามหลักเกณฑ์ของทางราชการ ดังนี้ 1. นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เยี่ยมผู้ที่ได้รับบาดเจ็บที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ 2. นายรัชตะ รัชตะนาวิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เยี่ยมผู้ที่ได้รับบาดเจ็บที่โรงพยาบาลหัวเฉียว โรงพยาบาลกลาง และโรงพยาบาลพระรามเก้า 3. นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เยี่ยมผู้ที่ได้รับบาดเจ็บที่โรงพยาบาลราชวิถี และโรงพยาบาลรามาธิบดี 4. พลตำรวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เยี่ยมผู้ที่ได้รับบาดเจ็บที่โรงพยาบาลตำรวจ 5. นายสุธี มากบุญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เยี่ยมผู้ที่ได้รับบาดเจ็บที่โรงพยาบาลพญาไท และโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า 6.นายสมศักดิ์ ชุณหรัศมิ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เยี่ยมผู้ที่ได้รับบาดเจ็บที่โรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน โรงพยาบาลเลิศสิน โรงพยาบาลมเหสักข์ โรงพยาบาลเซนต์หลุยส์ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ และโรงพยาบาลกล้วยน้ำไท 2
ทั้งนี้ การเกิดเหตุในลักษณะการก่อเหตุร้ายเช่นนี้ เป็นเรื่องที่ป้องกันค่อนข้างลำบาก หลายประเทศก็คงจะเคยเจอกับสถานการณ์ลักษณะดังกล่าวมาแล้วเช่นกัน เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่าการป้องกันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะลำบาก มีผู้ที่พยายามจะก่อเหตุกับผู้ป้องกัน โอกาสในการที่จะเกิดเหตุก็ยังมีอยู่ อย่างไรก็ตามสิ่งที่สำคัญที่สุดที่นายกรัฐมนตรี ได้กำชับคือใครจะเป็นมืออาชีพมากกว่ากัน หมายว่ารัฐบาลของประเทศใดจะสามารถบริหารจัดการต่อสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากการก่อเหตุร้ายนี้ได้ดีกว่ากัน ไม่ว่าจะเป็นการบริหารข้อมูลข่าวสารที่เกิดขึ้น บริหารการสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนทั้งในประเทศและต่างประเทศว่าเจ้าหน้าจะสามารถควบคุมสถานการณ์ได้และดูแลพื้นที่ต่าง ๆ ให้เกิดความปลอดภัยได้อย่างดีที่สุด ตอลดจนภารกิจอื่น ๆ ของประเทศจะต้องดำเนินต่อไปให้ได้ ซึ่งตรงนี้คือความเป็นมืออาชีพของประเทศไทย โดยนายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายภารกิจให้ทุกกระทรวง ทบวง กรมที่เกี่ยวข้องบริหารจัดการทั้ง 3 เรื่องดังกล่าวให้สามารถเดินไปได้อย่างดีที่สุด
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงการเรียกความเชื่อมั่นศรัทธาให้กลับมาโดยเร็วว่า ต้องพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส โดยช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่สำคัญที่ประชาชนคนไทยทุกคนจะได้รวมใจและรวมพลังกันส่งกำลังใจไปยังเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน รวมถึงผู้ที่ได้รับบาดเจ็บและครอบครัวผู้ที่เสียชีวิต เพื่อที่จะปฏิบัติภารกิจต่าง ๆ ให้ดำเนินต่อไป ซึ่งในส่วนของประชาชนก็ต้องอยู่ในความสงบ ไม่ตื่นตระหนก และรับฟังข้อมูลอย่างมีสติจากแหล่งข้อมูลที่เป็นข้อมูลของทางราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐ ไม่ว่าจะเป็นสถานีวิทยุและโทรทัศน์ของรัฐ และอย่าหลงเชื่อข่าวลือ โดยเฉพาะข่าวลือในโซเซียลมีเดีย เพราะข้อมูลต่าง ๆ ที่ถูกเผยแพร่ในช่วงนี้ไม่สามารถเชื่อถือว่าเป็นข้อมูลจริงหรือข้อมูลที่ถูกสร้างขึ้น ดังนั้นข้อมูลทั้งหมดจะต้องได้รับการตรวจสอบ โดยหากประชาชนที่ได้รับมูลข่าวสารเหล่านี้ขออย่าส่งข้อมูลต่อไปในระบบที่จะแพร่กระจายออกไป ทั้งนี้ ไม่รวมถึงกรณีที่เจ้าหน้าที่จะขอความร่วมมือในการให้ส่งข้อมูลไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งได้มีการเปิดศูนย์บริการที่หมายเลขโทรศัพท์ 1599
ขณะเดียวกันขอความร่วมมือประชาชนเป็นหูเป็นตาให้กับเจ้าหน้าที่ของรัฐในการที่จะแจ้งเบาะแส ทั้งข้อมูลที่เกิดขึ้นก่อนและหลังเหตุการณ์ระเบิด ตลอดจนข้อมูลในอนาคตที่จะพบเจอว่าเป็นสิ่งผิดสังเกต บุคคล วัตถุต้องสงสัย ขอให้แจ้งเจ้าหน้าที่ของรัฐทั้งเจ้าหน้าที่ทหาร และเจ้าหน้าที่ตำรวจที่อยู่ใกล้ที่สุด หรือแจ้งมาได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 191 ตลอด 24 ชั่วโมง
ขณะที่ในส่วนของเจ้าหน้าที่ก็จะต้องมีความเป็นมืออาชีพ สามารถที่จะดูแลความปลอดภัยให้สังคมเกิดความมั่นใจว่าเจ้าหน้าที่สามารถควบคุมพื้นที่ทั้งพื้นที่เกิดเหตุ พื้นที่ใกล้เคียง ตลอดจนพื้นที่เสี่ยง และจุดสำคัญต่าง ๆ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ประชาชนไปใช้บริการกันเป็นจำนวนมาก และต้องมีการติดตามสอบสวนข้อมูลทุกกรณีที่มีข้อมูลข่าวสาร ไม่ว่าจะเป็นการเผยแพร่ข้อมูลก่อนล่วงหน้าที่จะมีเหตุเกิดขึ้น หรือภาพข้อมูลที่มีการเผยแพร่ต่อผ่านโซเซียลมีเดียจะต้องมีการตรวจสอบในทุกกรณีโดยไม่ละเว้นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าข้อมูลที่ได้รับการประมวลจากทุกด้านเป็นข้อมูลที่มีความถูกต้อง อีกทั้งต้องมีการดำเนินการในมาตรการอย่างเป็นระบบ
พร้อมทั้ง ขอความร่วมมือสื่อมวลชนซึ่งเป็นส่วนสำคัญใน 3 ส่วน คือประชาชน เจ้าหน้าที่ และสื่อมวลชน ระมัดระวังการเผยแพร่ภาพที่สื่อมวลชนได้บันทึกภาพไว้ และเป็นภาพที่ไม่เหมาะสมมีผลกระทบต่อความรู้สึกของญาติผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต รวมทั้งการตั้งคำถามในลักษณะการชี้นำที่จะมีผลกระทบตามมาอันอาจจะก่อให้เกิดความตื่นตระหนกจนเกิดความเสียหายและขาดความเชื่อถือมากขึ้น เพื่อไม่ให้สถานการณ์ต่าง ๆ เลวร้ายมากขึ้นกว่าเดิม ทุกภาคส่วนต้องเร่งช่วยกันทุกวิถีทางในการเรียกความเชื่อมั่นและให้ประเทศไทยกลับมาสู่ภาวะปกติโดยเร็ว
นายกรฐมนตรี ได้กล่าวถึงเหตุการณ์ครั้งนี้ว่า เป็นประสบการณ์ได้เป็นอย่างดี กรณีที่เมื่อเกิดเหตุแล้วส่วนต่าง ๆ สามารถทำหน้าที่ได้หรือไม่ เจ้าหน้าที่สามารถเข้าถึงพื้นที่ได้รวดเร็วมากน้อยเพียงใด และมีการกันส่วนพื้นที่ไว้ชัดเจนหรือไม่ เพื่อให้สามารถควบคุมการบริหารจัดการข้อมูลข่าวสาร และการตรวจสอบหลักฐานต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้น เพราะการเก็บข้อมูลทั้งหลายเหล่านี้มีความสำคัญ ซึ่งหากสื่อมวลชนที่เข้าไปในบริเวณใกล้เคียงแล้วได้รับการห้ามปรามจากเจ้าหน้าที่เรื่องการบันทึกภาพต่าง ๆ ก็ขอให้เข้าใจว่านี่คือมาตรการที่ประเทศระดับมืออาชีพเขาต้องปฏิบัติกัน อย่าคิดว่าสิ่งที่เจ้าหน้าที่ได้ปฏิบัติต่อสื่อมวลชน เป็นสิ่งที่พยายามทำให้เสียโอกาสในการปฏิบัติหน้าที่ของสื่อมวลชน ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี จึงขอความร่วมมือจากสื่อมวลชนของประเทศไทยได้ยึดแนวทางดังกล่าวเป็นประสบการณ์
นอกจากนั้น นายกรัฐมนตรี ได้แสดงความชื่นชมประชาชนชาวไทย โดยกล่าวว่า “รัฐบาลขอแสดงความชื่นชมอย่างที่สุดต่อน้ำใจของคนไทยที่ได้แสดงให้ชาวโลกได้ประจักษ์ แม้ว่าควันจากแรงระเบิดจะยังไม่ทันจางพี่น้องประชาชนในบริเวณแยกพระพรหมต่างก็วิ่งเข้าไปช่วยเหลือดูแลผู้บาดเจ็บ วินมอเตอร์ไซต์ร่วมใจกันบริการโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย และทันทีที่สภากาชาดขอรับบริจาคโลหิตก็มีพี่น้องประชาชนคนไทยหลั่งไหลไปบริจาคอย่างมากมายแม้ว่าจะเป็นเวลาค่ำคืนก็ตาม นี่คือน้ำใจของคนไทย ที่ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใดเราจะไม่ทิ้งกัน และไม่เคยลืมน้ำใจแบบไทย ๆ ที่ปลูกฝังอยู่ในสายเลือดไทย รัฐบาลขอขอบคุณและชื่นชมด้วยความซาบซึ้งใจ”
กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก
ที่มา: http://www.thaigov.go.th