ฐานะการคลังภาคสาธารณะตามระบบสถิติเพื่อการศึกษาวิเคราะห์นโยบายการคลัง (สศค. หรือ GFS) ไตรมาสที่ 4 (กรกฎาคม – กันยายน 2558) และปีงบประมาณ 2558

ข่าวทั่วไป Wednesday December 30, 2015 14:21 —สำนักโฆษก

นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง แถลงฐานะการคลังภาคสาธารณะตามระบบ สศค. (รัฐบาล องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และรัฐวิสาหกิจ)ว่าในปีงบประมาณ 2558 (ตุลาคม 2557 – กันยายน 2558) ขาดดุลการคลังทั้งสิ้น 74,736 ล้านบาท (คิดเป็นร้อยละ 0.6 ของ GDP) โดยขาดดุลลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วร้อยละ 73.5 ทั้งนี้ ภาคสาธารณะมีรายได้รวม 6,978,919 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 527,624 ล้านบาท หรือร้อยละ 7.0 สาเหตุสำคัญ เป็นผลจากรัฐวิสาหกิจ โดยเฉพาะ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) และบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) มีรายได้ลดลง สำหรับด้านรายจ่ายภาคสาธารณะมีการเบิกจ่ายทั้งสิ้น 7,053,655 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 734,407 ล้านบาท หรือร้อยละ 9.4 อันเนื่องมาจากรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่ (บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย) มีการเบิกจ่ายลดลง ทั้งนี้ ดุลการคลังเบื้องต้นของภาคสาธารณะ (Primary Balance) ซึ่งเป็นดุลการคลังที่สะท้อนถึงผลการดำเนินงานและทิศทางของนโยบายการคลังอย่างแท้จริง (ไม่รวมรายได้และรายจ่ายดอกเบี้ย รวมทั้งการชำระคืนต้นเงินกู้) เกินดุล 38,064 ล้านบาท (คิดเป็นร้อยละ 0.3 ของ GDP)

นายกฤษฎาฯ สรุปว่า “รัฐบาลดำเนินนโยบายการคลังแบบขาดดุล เพื่อสนับสนุนให้เกิดการเติบโตทางเศรษฐกิจ และยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชนอย่างต่อเนื่อง”

ฐานะการคลังภาคสาธารณะตามระบบสถิติเพื่อการศึกษาวิเคราะห์นโยบายการคลัง (สศค. หรือ GFS) ไตรมาสที่ 4 (กรกฎาคม – กันยายน 2558) และปีงบประมาณ 2558 (ตุลาคม 2557 – กันยายน 2558)

1. ฐานะการคลังภาคสาธารณะในไตรมาสที่ 4 ของปีงบประมาณ 2558 (กรกฎาคม – กันยายน 2558) มีรายได้ 1,754,620 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 204,663 ล้านบาท หรือร้อยละ 10.4 และมีรายจ่าย 1,713,348 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 298,994 ล้านบาท หรือร้อยละ 14.9 ทั้งนี้ ดุลการคลังภาคสาธารณะในไตรมาสที่ 4 ของปีงบประมาณ 2558 เกินดุล 41,272 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 0.3 ของ GDP และเมื่อพิจารณาดุลการคลังเบื้องต้นของภาคสาธารณะ (Primary Balance) ซึ่งเป็นดุลการคลังที่สะท้อนถึงผลการดำเนินงานและทิศทางของนโยบายการคลังอย่างแท้จริง (ไม่รวมดอกเบี้ยรับและดอกเบี้ยจ่าย รวมทั้งการชำระต้นเงินกู้) เกินดุล 58,581 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 0.4 ของ GDP (รายละเอียดปรากฏตามตารางที่ 1) ดังนี้

1.1 ฐานะการคลังภาครัฐบาล ภาครัฐบาลมีรายได้รวม 793,957 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกัน ของปีที่แล้ว 58,083 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 7.9 ประกอบด้วยรายได้รัฐบาล 686,079 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกัน ของปีที่แล้ว 64,240 ล้านบาท หรือร้อยละ 10.3 โดยสาเหตุหลักมาจากการจัดเก็บภาษีน้ำมันและภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ที่สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว การนำส่งสภาพคล่องส่วนเกินของกองทุนหมุนเวียน และการนำส่งรายได้จากการประมูลคลื่นความถี่ 3G ความถี่ 2.1 GHz สำหรับกองทุนนอกงบประมาณ มีรายได้ทั้งสิ้น 107,878 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 6,157 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 5.4 โดยมีสาเหตุจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมีรายได้ จากเงินนำส่งเข้ากองทุนจากการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงลดลง 13,718 ล้านบาท ในขณะที่กองทุนประกันสังคมและกองทุนเงินทดแทนมีรายได้จากเงินสมทบเพื่อสังคมเพิ่มขึ้น 1,811 ล้านบาท

ในด้านรายจ่าย ภาครัฐบาลมีการเบิกจ่ายรวม 715,899 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 27,730 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 4.0 ประกอบด้วย

  • รายจ่ายรัฐบาล 628,498 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 22,378 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 3.7
  • รายจ่ายเงินกู้นอกงบประมาณ จำนวน 17,972 ล้านบาท ประกอบด้วย (1) รายจ่ายตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง จำนวน 3,678 ล้านบาท (2) รายจ่ายเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (DPL) จำนวน 611 ล้านบาท เป็นการเบิกจ่ายสำหรับโครงการปรับปรุงทางรถไฟของการรถไฟแห่งประเทศไทย จำนวน 133 ล้านบาท และโครงการมาตรวิทยาแห่งชาติ ระยะที่ 3 กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จำนวน 35 ล้านบาท (3) รายจ่ายเพื่อวางระบบการบริหารจัดการน้ำ จำนวน 128 ล้านบาท (4) รายจ่ายเงินกู้โครงการเพื่อการพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและระบบขนส่งทางถนนระยะเร่งด่วน จำนวน 13,296 ล้านบาท ซึ่งเป็นการเบิกจ่ายของกรมทางหลวง จำนวน 6,475 ล้านบาท กรมชลประทาน จำนวน 4,207 ล้านบาท และ (5) รายจ่าย เงินกู้ต่างประเทศ จำนวน 259 ล้านบาท
  • รายจ่ายกองทุนนอกงบประมาณ จำนวน 69,429 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 7,703 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 10.0 โดยมีสาเหตุมาจากกองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายมีรายจ่ายเงินชดเชยลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 4,249 ล้านบาท กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติมีรายจ่ายค่าบริการทางการแพทย์ลดลง 1,169 ล้านบาท และกองทุนเงินทดแทนและกองทุนประกันสังคมมีค่าใช้จ่ายค่าสวัสดิการสังคมลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 1,367 ล้านบาท

ดุลการคลังของภาครัฐบาลในไตรมาสที่ 4 ของปีงบประมาณ 2558 เกินดุล 78,058 ล้านบาท (คิดเป็นร้อยละ 0.6 ของ GDP) เกินดุลเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 30,353 ล้านบาท หรือร้อยละ 63.6

1.2 ฐานะการคลังองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) อปท. มีรายได้ จำนวน 129,052 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 36,049 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 38.8 โดยสาเหตุหลักเกิดจากการได้รับเงินอุดหนุน จากรัฐบาลเพิ่มขึ้น 32,393 ล้านบาท และได้รับรายได้ที่รัฐบาลจัดเก็บและแบ่งให้เพิ่มขึ้น 2,971 ล้านบาท ด้านรายจ่าย คาดว่า อปท. มีรายจ่าย จำนวน 150,825 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 7,858 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 5.5 จากรายได้และรายจ่ายดังกล่าว ส่งผลให้ดุลการคลังของ อปท. ขาดดุล 21,773 ล้านบาท (คิดเป็นร้อยละ 0.2 ของ GDP) ขาดดุลลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 28,191 ล้านบาท

1.3 ฐานะการคลังรัฐวิสาหกิจที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน มีรายได้ 939,594 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 291,589 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 23.7 โดยมีสาเหตุหลักจาก บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย มีรายได้จากการขายสินค้าและบริการลดลง จำนวน 250,923 18,435 และ 16,553 ล้านบาท ตามลำดับ ด้านรายจ่าย รัฐวิสาหกิจฯ มีรายจ่ายรวม 954,607 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 327,376 ล้านบาท หรือร้อยละ 25.5 โดยมีสาเหตุหลักจากการที่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย มีรายจ่ายประจำลดลง 307,704 และ 20,969 ล้านบาท ตามลำดับ ซึ่งจากรายได้และรายจ่ายดังกล่าว ดุลการคลังของรัฐวิสาหกิจฯ ขาดดุล 15,013 ล้านบาท (คิดเป็นร้อยละ 0.1 ของ GDP)

2. ฐานะการคลังภาคสาธารณะ ปีงบประมาณ 2558 (ตุลาคม 2557 – กันยายน 2558) มีรายได้ 6,978,919 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 527,624 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 7.0 เป็นผลมาจากการที่รัฐวิสาหกิจฯ มีรายได้ลดลง 797,443 ล้านบาท ในขณะที่รัฐบาลและกองทุนนอกงบประมาณมีรายได้เพิ่มขึ้น 215,149 ล้านบาท สำหรับด้านรายจ่าย มีทั้งสิ้น 7,053,655 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 734,407 ล้านบาท หรือร้อยละ 9.4 ส่งผลให้ดุลการคลังภาคสาธารณะขาดดุล 74,736 ล้านบาท (คิดเป็นร้อยละ 0.6 ของ GDP)โดยขาดดุลลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 206,783 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 73.5 ทั้งนี้ ดุลการคลังเบื้องต้น ของภาคสาธารณะ (Primary Balance) เกินดุล 38,064 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 0.3 ของ GDP (รายละเอียดปรากฏตามตารางที่ 2) ดังนี้

2.1 ฐานะการคลังภาครัฐบาล ภาครัฐบาลมีรายได้รวม 3,022,927 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 215,149 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 7.7 ประกอบด้วยรายได้รัฐบาล 2,495,074 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 180,836 ล้านบาท หรือร้อยละ 7.8 โดยมีสาเหตุหลักจากการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันและภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว การนำส่งสภาพคล่องส่วนเกินของกองทุนหมุนเวียน และการนำส่งรายได้จากการประมูลคลื่นความถี่ 2.1 GHz (3G) งวดที่ 2 สำหรับกองทุนนอกงบประมาณ มีรายได้ทั้งสิ้น 527,853 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 34,313 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 7.0 โดยมีสาเหตุ จากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมีรายได้จากเงินนำส่งเข้ากองทุนจากการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้น 17,114 ล้านบาท และกองทุนประกันสังคมได้รับเงินสบทบเพื่อสังคมเพิ่มขึ้น 18,136 ล้านบาท

ในด้านรายจ่ายภาครัฐบาลมีรายจ่ายรวม 3,028,210 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 100,360 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 3.4 ประกอบด้วย

  • รายจ่ายรัฐบาล 2,700,335 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 107,221 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 4.1
  • รายจ่ายเงินกู้นอกงบประมาณ จำนวน 33,181 ล้านบาท ประกอบด้วย (1) รายจ่ายเงินกู้โครงการพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและระบบขนส่งทางถนนระยะเร่งด่วน จำนวน 13,296 ล้านบาท (2) รายจ่ายตามแผนปฏิบัติการไทยเข็มแข็ง จำนวน 13,232 ล้านบาท (3) รายจ่ายเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนา โครงสร้างพื้นฐาน (DPL) จำนวน 4,184 ล้านบาท (4) รายจ่ายเพื่อวางระบบการบริหารจัดการน้ำ จำนวน 1,227 ล้านบาท และ (5) รายจ่ายเงินกู้ต่างประเทศ จำนวน 1,242 ล้านบาท
  • รายจ่ายกองทุนนอกงบประมาณ จำนวน 294,694 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 20,856 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 6.6 โดยมีสาเหตุมาจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมีรายจ่ายเงินชดเชย ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 36,378 ล้านบาท ในขณะที่กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติมีรายจ่ายค่าบริการทางการแพทย์เพิ่มขึ้น 4,983 ล้านบาท อีกทั้ง กองทุนประกันสังคมและกองทุนเงินทดแทนมีการเบิกจ่ายเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 894 ล้านบาท

ดุลการคลังของรัฐบาลปีงบประมาณ 2558 ขาดดุล 5,283 ล้านบาท ขาดดุลลดลงจากช่วงเดียวกัน ของปีที่แล้ว 114,789 ล้านบาท หรือร้อยละ 95.6

2.2 ฐานะการคลังองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) อปท. มีรายได้ จำนวน 608,075 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 41,530 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 7.3 เนื่องจากมีรายได้จากเงินอุดหนุนและรายได้ที่รัฐบาลจัดเก็บและแบ่งให้เพิ่มขึ้น 27,417 และ 9,982 ล้านบาท ตามลำดับ ด้านรายจ่าย คาดว่า อปท. มีรายจ่าย จำนวน 579,668 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 31,160 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 5.7 ส่งผลให้ดุลการคลังของ อปท. เกินดุล 28,407 ล้านบาท (คิดเป็นร้อยละ 0.2 ของ GDP) เกินดุลเพิ่มขึ้น 10,370 ล้านบาท หรือร้อยละ 57.5

2.3 ฐานะการคลังรัฐวิสาหกิจที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน มีรายได้ 3,975,946 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 797,443 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 16.7 โดยมีสาเหตุหลักจาก บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) และบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) มีรายได้ลดลง จำนวน 762,131 17,196 และ 13,251 ล้านบาท ตามลำดับ ด้านรายจ่าย รัฐวิสาหกิจฯ มีรายจ่ายรวม 4,073,806 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 879,067 ล้านบาท หรือร้อยละ 17.7 โดยมีสาเหตุหลักจากการที่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยมีรายจ่ายประจำลดลง 816,368 และ 34,406 ล้านบาท ตามลำดับ ส่งผลให้ดุลการคลังของรัฐวิสาหกิจฯ ขาดดุล 97,860 ล้านบาท ขาดดุลลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 81,624 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 45.5

ส่วนระบบสถิติการคลัง สำนักนโยบายการคลัง สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง

โทร. 02 273 9020 ต่อ 3550

ที่มา : กระทรวงการคลัง

ผู้นำเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สำนักงานปลัดกระทรวงการคลัง

ที่มา: http://www.thaigov.go.th


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ