นายกรัฐมนตรีพบชุมชนไทยในสหรัฐอเมริกา

ข่าวทั่วไป Saturday September 24, 2016 08:20 —สำนักโฆษก

วันนี้ (22 กันยายน 2559) เวลา 15.00 น. ณ โรงแรมพลาซ่า แอทธินี นครนิวยอร์ก พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พบชุมชนไทยในสหรัฐอเมริกา ประกอบด้วยชุมชนไทยในนิวยอ์รก ผู้แทนจาก 10 สมาคมในนครนิวยอร์กและรัฐใกล้เคียง ในโอกาสเข้าร่วมการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 71 โดยพลตรี วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญ ดังนี้

นายกรัฐมนตรีกล่าวรู้สึกอบอุ่นและหวังว่าการพบกันในวันนี้จะเป็นโอกาสให้ชุมชนไทยในสหรัฐฯ และทีมประเทศไทยในสหรัฐฯ ได้พูดคุยและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันในบรรยากาศที่เป็นกันเอง ซึ่งสถิติของทางการสหรัฐอเมริการะบุว่า มีคนไทยอาศัยอยู่ในสหรัฐฯ ประมาณสองแสนกว่าคน หากนับรวมชาวไทยรุ่นที่สองที่เกิดและโตที่นี่เพราะพ่อแม่และญาติมาตั้งรกรากในสหรัฐฯ เมื่อสามสิบสี่สิบปีก่อนด้วย อาจมีจำนวนมากถึงสามแสนคน ซึ่งประกอบอาชีพและธุรกิจที่ได้รับการยอมรับ และมีสิทธิเสรีภาพทัดเทียมกับชาวอเมริกัน สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีชั้นสูงของสหรัฐฯ หรือสามารถสื่อสารกับนักการเมืองสหรัฐฯ ในพื้นที่ต่าง ๆ ในส่วนของพัฒนาการภายในประเทศทุกวันนี้ สังคมไทยมีเสถียรภาพ มีการบังคับใช้กฎหมาย และมาตรการต่างๆ ที่ถูกนำออกมาใช้ก็เพื่อบูรณาการการทำงาน แก้ปัญหาความขัดแย้ง และเพื่อการวางอนาคตร่วมกัน

โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวย้ำการทำงานของรัฐบาลว่า คือ ต้องการเห็นประเทศไทยก้าวหน้า มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ตลอดสองปีรัฐบาลพยายามฟื้นฟูปฏิรูปประเทศ ทุกหน่วยงานดำเนินการอย่างจริงจังเพื่อให้เห็นผลเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ ประเทศไทยต้องเป็นประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข

รัฐบาลส่งเสริมการบริหารราชการแผ่นดินที่มีธรรมาภิบาล ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเป็นธรรม รวมทั้ง ป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในภาครัฐ โดยมีการปรับปรุงกฎหมายและส่งเสริมกระบวนการยุติธรรม ผ่านร่างกฎหมายต่าง ๆ รวมกว่า 190 ฉบับ อาทิ กฎหมายว่าด้วยกองทุนยุติธรรม พ.ร.บ. อำนวยความสะดวกกับประชาชน พ.ร.บ. ข้อมูลข่าวสาร กฎหมายว่าด้วยเศรษฐกิจและการลงทุน การปรับระบบภาษีอากรประเทศไทยอยู่ระหว่างการปฏิรูป รัฐบาลมียุทธศาสตร์ระยะยาว และเดินหน้าตามแผนพัฒนาประเทศอย่างจริงจัง อย่างไรก็ตาม ประชาชนยังมีความแตกต่างทางรายได้ รัฐบาลจึงมุ่งเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ วางระบบโครงสร้างพื้นฐานประเทศและคมนาคม รวมทั้งการพัฒนาอุตสาหกรรมดั้งเดิม (5 S curve) และส่งเสริมอุตสาหกรรมใหม่ (new 5 S curve) ด้วยเทคโนโลยีชั้นสูง พร้อมๆ ไปกับการพัฒนาศักยภาพแรงงาน ขณะเดียวกัน รัฐบาลให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและป้องกันการละเมิดสาธารณสมบัติ ทั้งหมดนี้ก็เพื่อพัฒนาประเทศโดยมีตัวบทกฎหมายรองรับและช่วยแก้ไขปัญหาที่ติดขัด

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ต้นตอของปัญหาหลายอย่างในประเทศไทยมาจากความเหลื่อมล้ำในสังคม รัฐบาลจึงให้ความสำคัญในการขจัดความเหลื่อมล้ำ เพิ่มรายได้และพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกษตรกรที่มีสัดส่วนถึงร้อยละ 40 ให้มีความเข้มแข็งและพึ่งพาตนเองได้ ถือเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาล รวมทั้งการลดช่องว่างและความแตกต่างในสังคม โดยเฉพาะระหว่างคนเมืองและคนชนบท และส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่น นำเทคโนโลยีและความเจริญในชนบท นอกจากนี้ ยังมีโครงการส่งเสริมให้เกษตรกรเพาะปลูกพืชแบบผสมผสานแทนการปลูกพืชเชิงเดี่ยว เพื่อสร้างรายได้ที่มั่นคง มีกองทุนสนับสนุนเกษตรกร และยกระดับผลผลิตของเกษตรกรด้วยการใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น การปรับปรุงคุณภาพสินค้าอุปโภค บริโภค อาทิ ข้าว ผ้าไทย เพื่อให้เข้าถึงตลาดต่าง ๆ และเพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้าและรายได้ของเกษตรกรไทยรัฐบาลยังดำเนินโครงการด้านสวัสดิการเพื่อดูแลค้ำจุนผู้ด้อยโอกาส เด็ก คนชรา ผู้มีรายได้น้อย อาทิ เบี้ยผู้สูงอายุ มีกองทุนประกันสังคม โดยที่ทุกคนเข้าถึงโอกาสทางการศึกษา กระจายความเจริญออกไปยังพื้นที่ต่าง ๆ เป้าหมายเพื่อให้สามารถพึ่งพาตัวเองได้ ปรับปรุงระบบการศึกษาใหม่ทั้งหมด พัฒนาครู สร้างระบบราชการที่มีคุณธรรม เป็นองค์กรที่มีจริยธรรม ซึ่งประเทศไทยได้น้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาใช้ในการดำเนินการปฏิรูปประเทศด้านต่าง ๆ โดยให้ คนเป็นศูนย์กลาง ด้านเศรษฐกิจ ปรับปรุงการให้สิทธิประโยชน์เพื่อการลงทุนของสำนักงานส่งเสริมการลงทุนแห่งประเทศไทย เพื่อลดช่องว่างรายได้ สนับสนุนนโยบายการลงทุนของรัฐในโครงสร้างพื้นฐาน ระบบราง การขนส่ง สาธารณูปโภค รัฐบาลยังรณรงค์การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนผ่านการเสริมสร้างกลไกประชารัฐ ซึ่งคือการมีส่วนร่วมของภาครัฐ เอกชน ประชาชนและภาคประชาสังคม และให้ทุกคนรู้สึกว่าเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในการขับเคลื่อนประเทศมิติต่าง ๆ

ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวถึงความสำเร็จในการเดินทางเข้าร่วมการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งนี้ ว่า ประเทศไทยได้รับการยอมรับและนานาชาติชื่นชมบทบาทความมุ่งมั่นของไทย ในการแก้ปัญหาและความท้าทายระดับโลกร่วมกับประชาคมโลกทั้งปัญหาผู้หนีภัย แก้ปัญหาค้ามนุษย์ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พร้อมกล่าวชื่นชมคนไทยในต่างแดน ที่จะเป็นอีกหนึ่งคลัสเตอร์ในต่างประเทศ โดยเอกอัครราชทูต ณ ประเทศต่างๆ เป็นหัวหน้าคลัสเตอร์ ถือเป็นอีกหนึ่งพลังในการพัฒนาประเทศร่วมกับรัฐบาล

ที่มา: http://www.thaigov.go.th


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ