ผลการประชุมคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินตามกรอบการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติและการสร้างความสามัคคีปรองดอง (ป.ย.ป.)ครั้งที่ 2/2560

ข่าวทั่วไป Monday July 24, 2017 14:04 —สำนักโฆษก

ผลการประชุมคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินตามกรอบการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติและการสร้างความสามัคคีปรองดอง (ป.ย.ป.)ครั้งที่ 2/2560

วันนี้ (24 กรกฎาคม 2560) เวลา 13.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินตามกรอบการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติและการสร้างความสามัคคีปรองดอง (ป.ย.ป.)ครั้งที่ 2/2560 โดยมีคณะกรรมการ และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม ทั้งนี้ ที่ประชุม ได้มีการพิจารณาผลการดำเนินงานในภาพรวมของ ป.ยป. และคณะกรรมการภายใต้ ป.ย.ป. จำนวน 4 คณะ สรุปสาระสำคัญได้ดังนี้

1. ทิศทางและบทบาทของ ป.ย.ป. ภายหลังการประกาศใช้พระราชบัญญัติการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ. 2560 และพระราชบัญญัติแผนและขั้นตอนการดำเนินการปฏิรูปประเทศ พ.ศ. 2560 รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) รายงานว่า เมื่อกฎหมายทั้ง 2 ฉบับประกาศใช้บังคับแล้ว รัฐบาลจะต้องตั้งคณะกรรมการปฏิรูปประเทศ 11 คณะ และคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติอีกคณะเพื่อทำหน้าที่ยกร่างแผนการปฏิรูปประเทศและยุทธศาสตร์ชาติ โดยทั้ง 2 คณะ จะใช้เวลาในการยกร่างแผนปฏิรูปและยุทธศาสตร์ชาติประมาณ 10 – 14 เดือน ดังนั้น ในช่วงเวลาดังกล่าว ป.ย.ป จึงจะเป็นต้องทำหน้าที่ต่อเพื่อให้การขับเคลื่อนการปฏิรูปและยุทธศาสตร์ชาติที่รัฐบาลได้ดำเนินการมาก่อนหน้านี้เป็นไปอย่างต่อเนื่องจนเมื่อ คณะรัฐมนตรีอนุมัติแผนปฏิรูปประเทศ และสภานิติบัญญัติแห่งชาติเห็นชอบยุทธศาสตร์ชาติแล้ว จึงจะพิจารณาความจำเป็นในการคงอยู่ของ ป.ย.ป ต่อไป

2. ภาพรวมการขับเคลื่อน ป.ย.ป.

2.1 คณะกรรมการเตรียมการยุทธศาสตร์ชาติ(ตยศ.) รายงานความก้าวหน้ากลไกการดำเนินงานและ

บทบาทหน้าที่ของคณะอนุกรรมการบูรณาการยุทธศาสตร์ชาติและคณะอนุกรรมการที่ปรึกษาและรับฟังความ

คิดเห็นสรุปได้ดังนี้

(1) คณะอนุกรรมการที่ปรึกษาและรับฟังความคิดเห็น มีข้อเสนอแนะประเด็นเพิ่มเติมต่อสาระของร่างยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี ดังนี้ 1) ควรระบุเป้าหมายสุดท้ายและจุดเน้นการพัฒนาให้ชัดเจน เช่น การเป็นมหาอำนาจทางอาหาร การเป็นประเทศเศรษฐกิจชั้นนำ 1 ใน 3 เสือเอเชีย 2) มีกลไกในระดับพื้นที่และการสร้างการมีส่วนร่วมจากภาคประชาชน รวมถึงเพิ่มกลไก “ประชารัฐ” เนื่องจากการดำเนินการหลายเรื่องจำเป็นต้องให้ภาคเอกชนและประชาชนสนับสนุน และ 3) จัดลำดับความสำคัญของงานกำหนดสัดส่วนทรัพยากร/งบประมาณ พร้อมทั้งกำหนดแนวทางการรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะต่ออนาคตของประเทศไทยในระยะ 20 ปี ได้แก่ การจัดประชุมรับฟังความคิดเห็นระดับภาค รวม 4 ภาค โดยได้จัดในภาคกลางและภาคเหนือไปแล้ว

(2) คณะอนุกรรมการบูรณาการยุทธศาสตร์ชาติมีแนวทางการดำเนินการโดยบูรณาการทั้งงานภารกิจประจำ (Fuction) และพื้นที่ (Area) จึงได้เชิญปลัดกระทรวงทั้ง 20 กระทรวงมานำเสนอยุทธศาสตร์กระทรวงที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีและเชิญผู้ว่าราชการจังหวัดที่เป็นหัวหน้ากลุ่มจังหวัดทั้ง 18 กลุ่มจังหวัดมาน เสนอยุทธศาสตร์กลุ่มจังหวัด รวมทั้งเชิญคณะผู้บริหาร กทม. หารือเกี่ยวกับยุทธศาสตร์การพัฒนากรุงเทพมหานคร ระยะ 20 ปีแล้ว

ทั้งนี้ รัฐบาลได้ดำเนินการต่าง ๆ ครอบคลุมยุทธศาสตร์ทุกด้านแล้ว เช่น ด้านการสาธารณสุขจะมีการพัฒนาคลินิกหมอครอบครัว ด้านคมนาคม มีการพัฒนาตั๋วร่วม รถเมล์ NGV การลงทะเบียนผู้มีรายได้น้อยเพื่อจัดสวัสดิการภาครัฐ ในส่วนของ สศช. ได้มีการเตรียมการเพื่อรองรับภารกิจการจัดทำยุทธศาสตร์และการปฏิรูปประเทศแล้ว

2.2 คณะกรรมการเตรียมการปฏิรูปประเทศ (1) การปฏิรูปกฎหมาย (Regulatory Reform) คณะกรรมการที่ปรึกษาเพื่อกำกับการปฏิรูปกฎหมายซึ่ง ศ.ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ เป็นประธานกรรมการ ได้รายงานสรุปได้ดังนี้

(1.1) ปรับปรุงหรือยกเลิกกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการประกอบอาชีพหรือการดำเนินงานธุรกิจของประชาชน อาทิ การเริ่มต้นธุรกิจ การขออนุญาตก่อสร้าง การขอใช้ไฟฟ้า การจดทะเบียนทรัพย์สิน การได้รับสินเชื่อ การคุ้มครองผู้ลงทุน การชำระภาษีการค้าระหว่างประเทศ การบังคับให้เป็นไปตามข้อตกลง การแก้ปัญหาการล้มละลาย กฎหมายที่เกี่ยวกับการให้ใบอนุญาต (licenses)

(1.2) ปรับปรุงหรือยกเลิกกฎหมายที่สร้างภาระโดยไม่จำเป็นต่อประชาชน อาทิ กฎหมายที่กำหนดขั้นตอนการจดแจ้งเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตของประชาชน ตั้งแต่การเกิด การได้รับการดูแลสุขภาพ การขอใช้สาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน เช่น น้ำประปา ไฟฟ้า โทรศัพท์ และการตาย

(1.3) ตรวจสอบและติดตามกฎหมายให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์และการปฏิรูปประเทศ

(1.4) เสนอกฎหมายที่จัดทำกฎหมายใหม่ที่จำเป็น (กฎหมายที่ต้องตราขึ้นตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ และกฎหมายที่จะทำให้ประชาชนเข้าถึงกฎหมายได้โดยง่าย) เช่น กฎหมายว่าด้วยการบูรณาการการปฏิบัติราชการของส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐ กฎหมายว่าด้วยการทำประมวลกฎหมายเพื่ออำนวยความสะดวกประชาชน

(2) การปฏิรูปการบริหารจัดการภาครัฐ (Administrative Reform) เลขาธิการ ก.พ.ร. ได้นำเสนอแผนการปฏิรูประบบการบริหารราชการแผ่นดินที่สำคัญ ได้แก่

(2.1) การปฏิรูปกฎหมาย

(2.2) การยกระดับคุณภาพการให้บริการประชาชน โดยมีแผนงานสำคัญ ๆ

ที่จะผลักดันให้สำเร็จภายใน 6 เดือน และภายในปี 2560 เช่น การปรับลดระยะเวลาและขั้นตอนในการ

บริการประชาชนให้ได้ 30 - 50% การจัดตั้งศูนย์รับคำขอนุญาต การปรับกระบวนงานที่เกี่ยวข้องกับการ

ประกอบธุรกิจให้เป็นดิจิทัล การเชื่อมโยงข้อมูลของหน่วยงานภาครัฐ เพื่อลดภาระในการยื่นเอกสารของประชาชน

(2.3) การปฏิรูประบบตัวชี้วัดผลสัมฤทธิ์ โดยให้เชื่อมโยงกับเป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติและแผนปฏิรูป

(2.4) การปรับเปลี่ยนสู่รัฐบาลที่คล่องตัว โดยจะผลักดันให้ทุกหน่วยงานจัดทำ “แผนปฏิรูปองค์กร” ให้แล้วเสร็จภายใน 4เดือน มีแนวทาง คือ การทบทวนภารกิจภาครัฐ โดยรัฐควรทำเฉพาะภารกิจที่จำเป็น ตอบโจทย์ยุทธศาสตร์ชาติ โอนถ่ายงานให้ภาคเอกชนท้องถิ่น ปรับการทำงานเป็นดิจิทัล

(2.5) การปฏิรูปการบริหารจัดการกำลังคน จะมีรูปแบบการบริหารกำลังคนและระบบการจ้างงานภาครัฐใหม่ที่เปิดกว้างและหลากหลายขึ้น สามารถจ้างผู้เชี่ยวชาญจากเอกชนและต่างประเทศเข้ามาในระบบได้ รวมทั้งกำหนดเส้นทางความก้าวหน้าของบุคลากรภาครัฐในแต่ละกลุ่มให้ชัดเจน

(2.6) การปฏิรูปงบประมาณและการจัดซื้อจัดจ้าง

(2.7) การปรับเปลี่ยนสู่รัฐบาลดิจิทัล โครงการ Big Data

(3) การปฏิรูปเชิงระบบและโครงสร้าง (Structural Reform) ดร. บัณฑูร เศรษฐศิโรตม์ รายงานความก้าวหน้าการดำเนินการ ดังนี้

(3.1) ยุทธศาสตร์ชาติด้านความมั่นคง : การปฏิรูประบบความมั่งคงทางอาหารทั้งในด้านการอนุรักษ์และเพิ่มพูนฐานความหลากหลายทางชีวภาพ การส่งเสริมระบบเกษตรกรรมยั่งยืน และระบบอาหารปลอดภัย (Food Safety) ในระยะต่อไปจะมีการดำเนินงานในด้านความมั่นคงด้านทรัพยากรน้ำและด้านผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

(3.2) ยุทธศาสตร์ชาติด้านการเติบโตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม :มีการดำเนินงานในเรื่องต่าง ๆ ดังนี้

การปฏิรูประบบการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EIA/EHIA) และสร้างความเชื่อมโยงกับ “การประเมินยุทธศาสตร์การพัฒนาที่ยั่งยืน” (SEA: Strategic EnvironmentalAssessment) การปฏิรูประบบการบริหารจัดการระบบนิเวศทางทะเลและชายฝั่งทั้งในเรื่องการกัดเซาะชายฝั่ง การจัดการขยะชายฝั่งและเกาะ และการกำหนดเขตการใช้ประโยชน์ในทะเล (One Marine Map) การปฏิรูปการจัดการความขัดแย้งปัญหาที่ดิน – ป่าไม้ โดยการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายด้านป่าไม้ การออกกฎหมายป่าชุมชน เพื่อให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการดูแลจัดการป่าอย่างยั่งยืนในระยะต่อไปจะมีการดำเนินงานปฏิรูปด้านการผังเมือง และด้านการจัดการขยะและสารเคมี

(3.3) ยุทธศาสตร์ชาติด้านการลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างความเป็นธรรมในสังคมการปฏิรูปการกระจายการถือครองที่ดิน (ตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ) โดยการจัดตั้งธนาคารที่ดิน คณะกรรมการนโยบาย ที่ดินแห่งชาติ และระบบภาษีที่ดินที่เป็นธรรมการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม โดยการจัดตั้งระบบยุติธรรมชุมชนการปฏิรูประบบการสอบสวน และการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง การปฏิรูประบบภาษีเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ

(3.4) ยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพคน : การปฏิรูประบบการศึกษาโดยเริ่มจากโรงเรียนขนาดกลางและขนาดเล็ก และการศึกษาปฐมวัย การดำเนินงานปฏิรูปในทุกด้าน ได้มีการกำหนดหน่วยงานรับผิดชอบและกรอบเวลาดำเนินงานในแต่ละขั้นตอนไว้อย่างชัดเจน เพื่อการเร่งรัดและติดตามผลการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ

(4) การปฏิรูปเชิงพื้นที่และสังคม (Area Based Reform) ได้มีการดำเนินการดังนี้

(4.1) การดำเนินโครงการสานพลังเพื่อปฏิรูปพื้นที่และสังคม มีเป้าหมายเพื่อสร้างความเข้มแข็งของชุมชนระดับหมู่บ้าน ซึ่งจะนำไปสู่สัญญาประชาคม และวาระการปฏิรูปของพื้นที่โดยมีความคืบหน้าในการดำเนินการโดยได้สร้างความชัดเจนในแนวทางการขับเคลื่อนกับกระทรวงมหาดไทยการจัดทำฐานข้อมูลพื้นที่ตำบลเข้มแข็งเพื่อน ร่องในระยะแรก และการจัดทำเครื่องมือข้อมูลเพื่อจัดกระบวนการประชาสังคม

(4.2) โครงการสานพลังคนรุ่นใหม่คืนถิ่นเพื่อปรับ Mind Set ไปสู่การเป็น Citizen Reform สร้างคนรุ่นใหม่เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงในพื้นที่ เช่น โครงการคนกล้าคืนถิ่น บัณฑิตคืนถิ่น เป็นต้น ในระยะต่อไปจะได้ขยายผลการดำเนินการและสร้างต้นแบบให้เป็น Change Agent ประจำตำบลและขยายผลลงสู่ชุมชนต่อไป

(5) การปฏิรูปการศึกษาและการปฏิรูปตำรวจ

(5.1) การปฏิรูปการศึกษาได้กำหนดแนวทางและมาตรการแก้ปัญหาการศึกษา เช่น ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ผู้สูงอายุ คนรุ่นใหม่ทิ้งถิ่น การผลิตคนไม่ได้ตรงต่อความต้องการของตลาดแรงงาน การปลูกจิตสำนึกของการเป็นพลเมืองไทย ทักษะการดำรงชีวิต การมีงานทำของบัณฑิต ความรับผิดชอบต่อตนเองและสังคม การมีวินัยในตนเอง

(5.2) การปฏิรูปตำรวจได้แต่งตั้งอนุกร รมการ รวม 5 คณะ ได้แก่ คณะอนุกรรมการด้านการบริหารงานบุคคล คณะอนุกรรมการด้านการบังคับใช้กฎหมายและระบบสอบสวนคดีอาญา คณะอนุกรรมการด้านหน้าที่ อำนาจ และภารกิจของตำรวจ คณะอนุกรรมการด้านการรับฟังความคิดเห็น และคณะอนุกรรมการด้านวิชาการ

โดย ที่ประชุมมีข้อสังเกต ดังนี้

(1) การปฏิรูปกฎหมายควรพิจารณาจัดทำกฎหมายที่สนับสนุนการขับเคลื่อนนโยบายสำคัญที่ต้องดำเนินการในระยะเร่งด่วน

(2) การปฏิรูปเชิงระบบและโครงสร้าง ควรกำหนดให้มีการปฏิรูปด้านความมั่นคง เพื่อรองรับภัยคุกคามในรูปแบบใหม่ต่าง ๆ ด้วย

(3) การปฏิรูปเชิงพื้นที่และสังคมควรลงพื้นที่เพื่อให้ได้ข้อมูลความเดือดร้อนและความต้องการเร่งด่วนของประชาชน และนำมาจัดทำเป็นแผนแม่บทว่า ใน 1 ปี จะต้องดำเนินโครงการ/กิจกรรมใดเพื่อแก้ไขปัญหาประชาชน

2.3 คณะกรรมการตรียมการเพื่อสร้างความสามัคคีปรองดอง ได้ดำเนินงาน (1) รับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน รวม 15,692 คน (2) บูรณาการข้อคิดเห็น/ข้อเสนอแนะ และ (3) จัดทำร่างสัญญาประชาคมความเห็นร่วมเพื่อสร้างความสามัคคีปรองดอง

(1) ร่างสัญญาประชาคมความเห็นร่วมฯ มีจำนวน 10 ข้อ พร้อมทั้งผนวกประกอบร่างสัญญาประชาคมความเห็นร่วมฯ จำนวน 15 ข้อ มีสาระสำคัญเพื่อให้คนไทยทุกคน ได้ยึดถือเป็นกรอบแนวทางในการอยู่ร่วมกันอย่างสงบ สันติในอนาคต อย่างเป็นรูปธรรมเพื่อให้ประเทศไทยเป็นหนึ่งเดียว ภายใต้

การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข กล่าวคือ คนไทยทุกคนต้องเคารพกฎหมาย และมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเป็นธรรม รัฐบาล ประชาชน และทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันแก้ไขปัญหาชาติบ้านเมืองในทุกมิติอย่างครบวงจร โดยมีเป้าหมายที่ประชาชนทั้งประเทศได้รับผลประโยชน์สูงสุดรวมทั้ง เกิดความสามัคคีปรองดอง ดำรงชีวิตตามศาสตร์พระราชา บนพื้นฐานตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจ

พอเพียง มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ลดปัญหาความเหลื่อมล้ำ ทั้งทางด้านเศรษฐกิจและสังคม ตลอดจนมีส่วนร่วมในการปฏิรูปประเทศตามยุทธศาสตร์ชาติ เพื่อนำไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนต่อไป

(2) การจัดงานแถลงสัญญาประชาคมความเห็นร่วมฯ มีกำหนดจะจัดในวันเดียวกันในห้วงเวลาที่เหมาะสมพร้อมกันทั่วประเทศ ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคทั้งนี้ ภายหลังการจัดงานแถลงสัญญาประชาคมความเห็นร่วมฯ คณะกรรมการเตรียมการฯ มีแผนงานที่จะขยายผลการสร้างความสามัคคีปรองดองอย่างต่อเนื่องไปจนกว่าจะมีการจัดการเลือกตั้งทั่วไป เพื่อเผยแพร่ประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้สัญญาประชาคมความเห็นร่วมฯ ให้กับประชาชนทุกหมู่เหล่า ได้รับทราบกรอบแนวทางการอยู่ร่วมกันอย่างสงบและสันติในอนาคต

ที่ประชุมได้เห็นชอบร่างสัญญาประชาคมความเห็นร่วมฯ 10 ข้อ และแนวทางการแถลงสัญญาประชาคมความเห็นร่วมฯ

2.4 คณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินเชิงยุทธศาสตร์ นายปกรณ์ นิลประพันธ์รองผู้อำนวยการสำนักงานบริหารนโยบายของนายกรัฐมนตรี(PMDU) ในฐานะเลขานุการ บยศ. ได้รายงานสรุปผลการดำเนินการของ บยศ. ที่ได้ปลดล็อค ขับเคลื่อน และเร่งรัดนโยบายสำคัญตาม Agenda โดยมีผลการดำเนินงานที่สำคัญ เช่น

(1) การขับเคลื่อนเรื่องเร่งด่วนด้านคมนาคมขนส่งจะเปิดเดินรถเชื่อมสายสีน้ำเงิน – สีม่วงในเดือนสิงหาคม 2560 และในส่วนโครงการรถไฟไทย - จีนจะเริ่มก่อสร้างช่วงแรกในเดือนตุลาคม 2560 ส่วนการจัดตั้งAviation Hubอยู่ระหว่างเสนอ สงป. พิจารณางบฯ จัดจ้าง ทปษ. จัดทำ Master Plan และ EHIA คาดว่าจะใช้เวลาจัดทำแผนฯ 10 เดือน

(2) การขับเคลื่อนด้านสาธารณสุขเปิดคลินิกหมอครอบครัวแล้ว 596 ทีมทั่วประเทศและเสนอตั้ง คกก. พัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอำเภอ

(3) การขับเคลื่อนด้านพลังงานได้มีคำสั่ง หน.คสช. ที่ 31/2560 เพื่อแก้ไขปัญหาบน

พื้นที่ ส.ป.ก. ที่มีข้อพิพาทด้านกฎหมายให้กิจการปิโตรเลียม พลังงานทดแทน และเหมืองแร่ ดำเนินต่อไปได้

(4) ระบบและกลไกการกำกับติดตามประเมินผลโครงการตามแนวทางการสร้าง

ความเข้มแข็งและยั่งยืนให้กับเศรษฐกิจในประเทศ (Local Economy) ผ่านกลไก 18 กลุ่มจังหวัด

เบิกจ่ายงบประมาณจากทั้งหมด 115,000 ล้านบาทให้จังหวัด/กลุ่มจังหวัด แล้ว 27,351 ล้านบาท (ร้อยละ 23.78)

(5) การดำเนินการระบบการจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data)จัดตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อศึกษาแนวทางพัฒนาระบบ Big Data โดยเริ่มดำเนินโครงการนำร่องที่ จ.ชัยนาท และ จ.แม่ฮ่องสอนแล้ว

(6) การปรับโครงสร้าง สศช. ปรับปรุงร่าง พ.ร.บ. พัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พ.ศ. .... ตามมติ บยศ. และกำหนดแนวทางการปรับปรุงองค์กร ให้สามารถขับเคลื่อนภารกิจใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับภารกิจงานด้านยุทธศาสตร์ชาติ/การปฏิรูปประเทศที่กำหนดในร่าง พ.ร.บ. ทั้ง 2 ฉบับ ทั้งนี้ บยศ. ได้กำหนดนโยบายสำคัญตาม Agenda ที่จะเร่งรัดขับเคลื่อนในระยะต่อไป ได้แก่ (1) การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (2) การขับเคลื่อนมาตรการส่งเสริม SMEs และ (3) การพัฒนาประสิทธิภาพการให้บริการประชาชนของส่วนราชการ

ที่ประชุมรับทราบ

3. การเตรียมความพร้อมและกลไกการรองรับภารกิจตามพระราชบัญญัติการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ. ๒๕๖๐ และพระราชบัญญัติแผนและขั้นตอนการดำเนินการปฏิรูปประเทศ พ.ศ. 2560 สศช. ได้รายงานเรื่อง การเตรียมการความพร้อมและกลไกการดำเนินงานของ สศช. เพื่อรองรับ

ภารกิจยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ โดยอยู่ระหว่างการดำเนินการ การยกร่างระเบียบอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อรองรับการดำเนินงานด้านการประชุม การปฏิบัติหน้าที่ การจ้างที่ปรึกษา และการกำหนดค่าตอบแทน ค่าใช้จ่าย และประโยชน์ตอบแทนอื่น รวมทั้งปรับปรุงแก้ไข พ.ร.บ. ของสำนักงานฯ เพื่อรองรับการปรับโครงสร้างตามภารกิจยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ ตามที่คณะกรรมการ บยศ. เห็นชอบและที่คณะรัฐมนตรีมีข้อสังเกตเพิ่มเติม โดยคาดว่าจะเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาภายในเดือนกรกฎาคม 2560

--------------------------------------------------------

ข้อมูลจากฝ่ายเลขานุการ

ที่มา: http://www.thaigov.go.th


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ