สรุปประเด็นนายกรัฐมนตรีกล่าวในรายการศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 8 ธันวาคม 2560

ข่าวทั่วไป Friday December 8, 2017 14:21 —สำนักโฆษก

พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวกับประชาชนผ่านรายการ “ศาสตร์พระราชา” ทางสถานีโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ในวันศุกร์ที่ 8 ธันวาคม 2560 เวลา 20.15 น.

เนื่องในโอกาส สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณบดินทรเทพยวรางกูร พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ นายกรัฐมนตรีนำรัฐมนตรีใหม่เข้าเฝ้าฯ ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต กรุงเทพฯ เพื่อถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยมีพระราชดำรัสให้คณะรัฐมนตรี มีกำลังใจ กำลังกายและกำลังสติปัญญาในการปฏิบัติหน้าที่ตามที่ได้ถวายสัตย์ปฏิญาณไว้ เพื่อรักษาความมั่นคงของชาติ เพื่อความสุขและความปลอดภัยของประชาชนให้ดำรงไว้ซึ่งชื่อเสียง ภาพลักษณ์ ตลอดจนวัฒนธรรมขนบธรรมเนียมประเพณี อันงดงามของชาติ ซึ่งเรามีประวัติศาสตร์มายาวนาน อันมี 3 สถาบันหลักของชาติ ปกป้องคุ้มครองประเทศตลอดมา อีกทั้ง พระราชทานแนวทางในการทำงานว่าย่อมประสบกับอุปสรรค ปัญหา ข้อขัดข้องต่าง ๆ ดังนั้น เราจำเป็นต้องใช้ปัญญา มีกำลังใจมีความมุ่งมั่นที่ดี และรู้จักแก้ไขสิ่งต่างๆ เหล่านั้น ก็จะนำพาความสุขโดยรวม มาสู่ประเทศชาติและประชาชนอันเป็นหลักชัยในการทำงาน สิ่งสำคัญ ขอให้คำนึงถึง “ศาสตร์พระราชา” แห่งพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ที่ทรงรับสั่งไว้มากมาย และทรงปฏิบัติพระองค์เป็นแบบอย่าง หากได้ศึกษาพระราชกรณียกิจให้ถ่องแท้ ก็จะเป็นแนวทางที่ดีที่จะสืบสานต่อยอดพระราชปณิธานของพระองค์ สืบไป

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีขอน้อมนำพระราชดำรัสเบื้องต้น มากล่าวย้ำอีกครั้ง ณ ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี “ชุดใหม่” เมื่อวันจันทร์ที่ 4 ธันวาคมผ่านมา เพื่อเป็นสิริมงคลในการดำรงชีวิตและการทำงานคณะรัฐมนตรี ทุกคนจะได้ร่วมมือกันนำพาชาติบ้านเมืองไปสู่ความ “มั่นคง มั่งคั่ง อย่างยั่งยืน” ซึ่งต้องอาศัย “พลังประชารัฐ” จากทุกภาคส่วนจึงจะประสบความสำเร็จได้

การแก้ไขปัญหาทุจริต นายกรัฐมนตรีขอฝาก “สมการแห่งความสำเร็จ” ในยุค “ไทยแลนด์ 4.0” ไว้ว่า “ความสำเร็จ ประกอบไปด้วย ความเพียรและความร่วมมือ” โดยช่วยกันสอดส่องดูแลสังคมและบ้านเมืองให้ปราศจาก “เชื้อโรคทุจริตคอร์รัปชัน” ทั้งนี้ วันที่ 9 ธันวาคมของทุกปีถือเป็น“วันต่อต้านคอร์รัปชันสากล” ซึ่งรัฐบาลและ คสช. ให้ความสำคัญเป็นวาระเร่งด่วนและวาระแห่งชาติ โดยได้มีการดำเนินการตั้งคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (คตช.) รวมทั้งมีศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.) เพื่อสนับสนุนภารกิจการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ให้มีประสิทธิภาพประสิทธิผลมากขึ้น พร้อมตั้งคณะกรรมการพิจารณางบประมาณบูรณาการด้านการป้องกันปราบปรามการทุจริตเพื่อขับเคลื่อนงานและใช้งบประมาณด้านนี้อย่างไม่ซ้ำซ้อน ขณะเดียวกันทรัพย์สินที่ ป.ป.ช. ชี้มูล – ร้องต่อศาลให้ริบทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน ในปีงบประมาณ 2559 มีมูลค่ามากกว่า180 ล้านบาท และเพิ่มเป็น 853 ล้านบาท ในปีงบประมาณ 2560 โดย ข้อมูลจากผลการสำรวจของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เกี่ยวกับดัชนีสถานการณ์คอร์รัปชันของไทย (Corruption Situation Index :CSI) เมื่อเดือนมิถุนายนปีนี้ สะท้อนให้เห็นผลจากความพยายามของรัฐบาล - คสช. - ป.ป.ช. และองค์กรอิสระต่าง ๆ ในการต่อสู้กับปัญหาการทุจริต ภายใต้แนวคิด Zero Tolerance “คนไทยไม่ทนต่อการทุจริต” พร้อมมีจิตสำนึกที่ถูกต้องเคารพในกฎหมายยึดมั่นในคุณธรรม จริยธรรม และความพอเพียงพร้อมแสดงบทบาทพลเมืองดีในการตรวจสอบและเฝ้าระวังการทุจริต เพื่อให้ประเทศไทยโปร่งใสและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล

การพัฒนาชาติบ้านเมืองอย่างยั่งยืน นายกรัฐมนตรีย้ำต้องปฏิรูปตนเองด้วยการ “พัฒนาจิตใจ” 3 ระดับได้แก่ “จิตสำนึก” เช่น การมีคุณธรรมจริยธรรม และการเคารพกฎหมาย ซึ่งเริ่มจากตัวเองก่อน “จิตสาธารณะ” เช่นการคิดคำนึงถึงส่วนรวม เห็นประโยชน์สุขส่วนรวมเหนือกว่าประโยชน์ส่วนตน และ “จิตอาสา” ซึ่งเป็นการแสดงออก แสดงพลังในสิ่งที่ถูกต้อง โดยไม่นิ่งเฉยต่อสิ่งที่ผิดและไม่ถูกกฎหมายบ้านเมือง

โครงการตัวอย่าง ในลักษณะ “จิตอาสา” ที่น่ายกย่องในปัจจุบัน คือ โครงการ “ก้าวคนละก้าวเพื่อ 11 โรงพยาบาลทั่วประเทศ” ของนายอาทิวราห์ คงมาลัย ตูนบอดี้สแลมและทีมงาน ที่ตั้งใจทำเพื่อประโยชน์ของประชาชนและสังคมในภาพรวม นอกจากจะเป็นการสานต่อพระราชดำริโครงการจิตอาสา “เราทำความดี ด้วยหัวใจ” ซึ่งเป็นโครงการส่งเสริมให้ประชาชนร่วมกันทำในสิ่งดี ๆ เพื่อบ้านเมืองของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแล้ว ยังมีคุณประโยชน์แฝงอยู่ในโครงการของตูนอีกมากมาย เช่น ความต้องการ “เงินบริจาคจำนวนน้อย ๆ จากคนจำนวนมาก มากกว่าเงินบริจาคจำนวนมากจากคนส่วนน้อย” อีกทั้งเพื่อเป็นการสร้างรอยยิ้ม อันเป็นลักษณะนิสัยประจำชาติของคนไทย ให้กลับคืนมาสู่สังคมไทย เป็นสะพานเชื่อมสายใยแห่งความรัก ความสามัคคีของคนทั้งประเทศจากทั่วทุกสารทิศเป็นการ “คืนความสุขให้กับคนในชาติ” อย่างแท้จริง ตลอดจนเป็นการปลุกคนไทยให้สนใจหันมาออกกำลังเพื่อจะรักษาสุขภาพ ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากต่อวงการสาธารณสุขของประเทศ และเป็นมาตรการ “เชิงรุก” เน้นการป้องกันมากกว่าการรักษา ทำให้มีสุขภาพกายที่แข็งแรงและสุขภาพใจที่เข้มแข็ง

เมื่อวันที่ 3 ธันวาคมที่ผ่านมา สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณบดินทรเทพยวรางกูร ได้เสด็จพระราชดำเนิน ทรงเปิดโครงการอ่างเก็บน้ำห้วยโสมงอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ณ อำเภอนาดี จังหวัดปราจีนบุรี หรือ“โครงการอ่างเก็บน้ำนฤบดินทรจินดา” ซึ่งมีความหมายว่า “อ่างเก็บน้ำที่สร้างขึ้นตามพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” นับเป็นโครงการแหล่งน้ำในพระราชดำริโครงการสุดท้ายของในหลวง รัชกาลที่ 9 ซึ่งโครงการนี้ สามารถเก็บกักน้ำได้ 295 ล้านลูกบาศก์เมตร จะช่วยขยายพื้นที่ชลประทานในฤดูฝนได้ มากกว่า 1 แสนไร่ และฤดูแล้ง 45,000 ไร่ นอกจากจะช่วยบรรเทาปัญหาน้ำท่วม– ฝนแล้งในพื้นที่แล้ว ยังจะช่วยรักษาระบบนิเวศ ผลักดันน้ำเค็ม น้ำเน่าเสียในแม่น้ำปราจีนบุรีและแม่น้ำบางปะกง พร้อมเป็นแนวกันชนและป้องกันการบุกรุกทำลายป่าไม้ในเขตอุทยานแห่งชาติทับลานและอุทยานแห่งชาติปางสีดา รวมทั้งเป็นแหล่งน้ำที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นในพื้นที่ป่าไม้ได้ตลอดจน สถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ของจังหวัดปราจีนบุรีอีกด้วย

รัฐบาลได้ลงพื้นที่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออกหลายครั้ง เพื่อรับฟังปัญหาของพี่น้องประชาชนที่มองเห็นความเป็นไปได้ในระยะยาว โดยรัฐบาลหวังที่จะเห็นการมีส่วนร่วมของประชาชนทุกภาคส่วนในการช่วยกันพิจารณาความเหมาะสมด้วยเหตุด้วยผลเพื่อช่วยกันหาแนวทางแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ให้บรรเทาลงไป

กระแสโลกาภิวัฒน์ – โลกดิจิทัลในปัจจุบัน ได้ก้าวไกลไปอย่างรวดเร็ว รวมทั้งการค้าเสรีจะทำให้เกิดปัญหาความเหลื่อมล้ำมากขึ้น ทั้งภาคการผลิตและการส่งออก ประเทศไทยจำเป็นต้องปรับตัวให้ทัน โดยต้องช่วยกันเร่งสร้างภูมิคุ้มกันเพื่อรองรับความเสี่ยงและความท้าทายดังกล่าวอย่างมีสติ และใช้ปัญญาในการบริหารจัดการตามพระบรมราโชบายของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดย“หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” มาเป็นแนวทาง ซึ่งรัฐบาลและ คสช. เข้าใจดีถึงปัญหาความเหลื่อมล้ำในการกระจายรายได้ที่เหมาะสม จึงจำเป็นต้องมีการหาแนวทางทำให้เกิดเครือข่าย การสร้างความเชื่อมโยง ตั้งแต่ระดับบนลงมายังระดับล่างให้ได้ ในลักษณะที่เป็นกลุ่มกิจกรรม ที่ยึดโยงกับกลุ่ม –สหกรณ์–วิสาหกิจชุมชนที่มีอยู่ในปัจจุบันเพื่อสร้างความเข้มแข็งจากภายในให้ได้ในทุกภาคการผลิต ที่เป็น ไมโคร เอส เอ็ม อี (MSMEs) ให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน–องค์ความรู้–เทคโนโลยีและนวัตกรรมสมัยใหม่ ซึ่งจำเป็นต้องสร้างความเข้มแข็งให้ภาคการผลิตของประเทศ ทั้งภาคเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมที่เป็น เอส เอ็ม อี ไมโคร เอส เอ็ม อี สมาร์ทฟาร์มเมอร์ (SMEs + Smart Farmer) โดยกำหนดสัดส่วนการผลิตให้สอดคล้องกับความต้องการอย่างสมดุล สิ่งสำคัญที่สุดคือความเข้าใจจากประชาชนทุกกลุ่มอาชีพ โดยมีการพัฒนาตนเองและเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ อย่างสม่ำเสมอ

เนื่องจากใกล้วันขึ้นปีใหม่และวันนักขัตฤกษ์ของปีหน้าที่จะมาถึง นายกรัฐมนตรีได้แสดงความห่วงใยถึงเรื่องแรกเกี่ยวกับ “อุบัติเหตุ” จากการใช้รถใช้ถนน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถิติการเสียชีวิตบนท้องถนนของคนไทย ซึ่งสูงเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก เป็นสิ่งที่ทุกคนจะต้องตระหนักและช่วยกันลดอุบัติเหตุ ลดการสูญเสียให้ได้ ด้วยการเคารพกฎจราจร มีน้ำใจให้เพื่อนร่วมทาง และที่สำคัญ ก็คือ “เมาไม่ขับ” จำเป็นอย่างยิ่งที่ทุกฝ่ายต้องช่วยกันและร่วมมือกัน เพราะอุบัติเหตุไม่เพียงทำร้ายตัวท่านเท่านั้น แต่ยังสร้างความเสียหายแก่ชีวิตและทรัพย์สินของผู้อื่นรวมทั้งครอบครัว พร้อมกันนี้นายกรัฐมนตรีมีความกังวลกับเรื่องการหลอกลวงของมิจฉาชีพ ในหลายลักษณะ เรื่องของแก๊ง Call Center ที่ระบาดอยู่ในปัจจุบัน เรื่องการหลอกลวงต่าง ๆ การลงทุนต่าง ๆ ไม่ถูกต้องทั้งหมด เพราะฉะนั้นอยากให้ทุกคน โดยเฉพาะผู้สูงอายุ ต้องรู้เท่าทันเทคโนโลยี ทันกลการลวง ให้ใช้สติ วิเคราะห์ด้วยเหตุด้วยผล สิ่งแรกก็คือ ท่านต้องเข้มแข็งเสียก่อน ท่านต้องคิดว่าเหตุผลคืออะไร ทำไมถึงได้เงินมากขนาดนั้น เป็นไปได้หรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกที่มาหลอกว่า ท่านทำผิดโน่น ผิดนี่ แล้วจะแก้ไข หรือรื้อทำคดีให้ ก็ในเมื่อท่านรู้ว่าท่านไม่ได้ทำความผิด แล้วท่านจะไปให้เขาทำไม จึงขอให้ตรวจสอบให้แน่ชัดหรือสอบถามโดยตรงจากสายด่วนของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หรือ 1567 “ศูนย์ดำรงธรรม”

การกีฬา นายกรัฐมนตรีได้แสดงความยินดีกับสมาคมกีฬายกน้ำหนักสมัครเล่นแห่งประเทศไทย (สนท.) และนักกีฬายกน้ำหนักทั้ง 17 คน ชาย 8 คน หญิง 9 คน ที่สามารถสร้างชื่อเสียง จากการแข่งขันยกน้ำหนักชิงชนะเลิศแห่งโลก ประจำปี พ.ศ. 2560 ระหว่างวันที่ 28 พฤศจิกายน ถึง วันที่ 5 ธันวาคม ที่ผ่านมา ณ รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ซึ่งได้นำความสุขมาฝากคนไทยทั้งประเทศ โดยสามารถพิชิตรางวัล รวมทั้งสิ้น 15 เหรียญ ได้แก่ 5 เหรียญทอง 7 เหรียญเงิน และ 3 เหรียญทองแดง ขณะที่นักกีฬายกน้ำหนักหญิงไทยทำผลงานเป็นอันดับ 1 คว้ารางวัลชนะเลิศคะแนนรวมทีมหญิง และขอเป็นกำลังใจให้กับนักกีฬาทุกคน ใครที่ยังไม่ประสบความสำเร็จโดยขอให้อย่าละความพยายามต่อไป อย่าละความเพียร ส่วนใครที่ทำได้ดีแล้วนายกรัฐมนตรีได้ขอให้รักษามาตรฐานและพัฒนาให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นต่อไป

……………………………………..

กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก

ที่มา: http://www.thaigov.go.th


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ