พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้กล่าวกับประชาชนผ่านรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ทางสถานีโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ในวันศุกร์ที่ 23 มีนาคม 2561เวลา 20.15 น.ในประเด็นต่าง ๆ ซึ่งสรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีได้เดินทางเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียนออสเตรเลีย สมัยพิเศษ ณ นครซิดนีย์ ออสเตรเลีย ที่จัดขึ้นเพื่อหารือกันระหว่างผู้นำประเทศต่าง ๆ ในอาเซียนกับออสเตรเลีย ภายใต้หัวข้อ “การส่งเสริมความมั่นคงและความมั่นคั่งในภูมิภาค”
ออสเตรเลียถือเป็นประเทศคู่เจรจาที่เก่าแก่ที่สุดของอาเซียนมากว่า 44 ปีในปัจจุบันออสเตรเลียเป็นอีกประเทศที่อยู่ระหว่างการพิจารณาทางเลือกใหม่ ๆ ในการดำเนินความสัมพันธ์กับโลกภายนอก รวมถึงการหาความสมดุลในภูมิภาค โดยเฉพาะการพัฒนาแนวคิด อินโด-แปซิฟิก ที่รวมจีนเข้ามาด้วย ซึ่งเป็นภูมิภาคที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง จึงต้องเร่งพัฒนาการเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ ในหลาย ๆ ด้าน เพื่อรองรับความท้าทายต่าง ๆ สำหรับในด้านเศรษฐกิจ ปัจจุบันมีความตกลงเขตการค้าเสรี อาเซียนออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ซึ่งมีศักยภาพที่จะนำมาใช้เป็นเวทีในการยกระดับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระหว่างกันให้แน่นแฟ้นขึ้น
ในการเดินทางครั้งนี้นายกรัฐมนตรีและผู้นำประเทศสมาชิกอาเซียนและออสเตรเลียได้ร่วมเป็นสักขีพยานในการลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในการต่อต้านการก่อการร้ายสากลระหว่างอาเซียนกับออสเตรเลีย เพื่อย้ำเจตนารมณ์ในการร่วมมือต่อต้านการก่อการร้ายสากล และยังได้รับรอง ปฏิญญาซิดนีย์ ซึ่งเป็นเอกสารกำหนดวิสัยทัศน์ความร่วมมือระหว่างอาเซียนกับออสเตรเลียในด้านต่าง ๆ ประกอบด้วย ด้านการต่อต้านภัยคุกคามในหลายรูปแบบต่อความมั่นคง ส่วนในด้านเศรษฐกิจ ได้มีการสนับสนุนการเปิดเสรีทางการค้าระหว่างกัน รวมถึงการเร่งรัดการจัดทำความตกลง RCEP การส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล และการร่วมกันสนับสนุน MSMEs ทั้งนี้ ออสเตรเลียได้เสนอโครงการต่าง ๆ เพื่อดำเนินการโดยมุ่งเน้นประเด็นที่ทั้งสองฝ่ายมีผลประโยชน์ร่วมกัน
พร้อมกันนี้ ปีหน้าประเทศไทยได้รับหน้าที่เป็นประธานอาเซียน เป็นเจ้าบ้านในการต้อนรับการประชุมต่าง ๆ ของอาเซียนตลอดปี รวมถึงการเป็นเจ้าภาพเอเปกในปี 2565นี้ ซึ่งอยู่ระหว่างการเตรียมการดำเนินงานอย่างดีที่สุด เพื่อให้เห็นความพร้อมของประเทศไทยรวมถึงโอกาสในการแสดงให้เห็นถึงศักยภาพและบทบาทของประเทศไทย ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีอยากให้คนไทยทุกคนได้ร่วมมือกันเป็นเจ้าบ้านที่ดีร่วมกัน เพื่อแสดงความเป็นเอกลักษณ์ของประเทศไทย
สำหรับความสัมพันธ์ไทย-ออสเตรเลียเริ่มต้นมาเป็นระยะเวลานาน ซึ่งจะครบรอบ 70 ปี โดยในปี 2565 นี้ ออสเตรเลียถือเป็นคู่ค้าสำคัญของไทยมายาวนาน เมื่อปี 2560ได้มีการค้าระหว่างกันสูงถึง 500,000 ล้านบาท ถือว่าเป็นคู่ค้าอันดับที่9ในปัจจุบันไทยมีการทำความตกลงทางการค้ากับออสเตรเลียภายใต้ TAFTA ที่มีขอบเขตความตกลงอย่างกว้างขวาง นอกจากนี้ ออสเตรเลียยังสนับสนุนให้ไทยเตรียมพร้อม เพื่อเข้าร่วมในความตกลง TPP หรือในปัจจุบัน เรียกว่า CPTIP เพื่อเป็นการขยายฐานการค้าให้กับผู้ประกอบการของประเทศไทย
นายกรัฐมนตรีกล่าวแสดงความยินดีกับคุณสุนันทา กังวาลกุลกิจ เอกอัครราชทูตคณะผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การการค้าโลก (WTO) และองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก (WIPO)ได้รับเสียงสนับสนุนจากสมาชิก WTO 164 ประเทศ ให้ดำรงตำแหน่งประธานองค์กรระงับข้อพิพาทนับว่าเป็นคนไทยคนแรกของประวัติศาสตร์ในครั้งนี้ ถือว่ามีความสำคัญ ซึ่งเป็นองค์กรระดับสูงสุดของ WTO ในการกำกับดูแลภาพรวมการดำเนินงานของประเทศสมาชิก เพื่อให้ทุกประเทศเกิดความมั่นใจและสร้างความเป็นธรรมทางการค้าระหว่างประเทศ นายกรัฐมนตรีกล่าวอวยพรให้คุณสุนันทาและทีมงาน ประสบความสำเร็จ การทำงานราบรื่น และสร้างเกียรติยศชื่อเสียงให้กับประเทศไทย
ปัจจุบันรัฐบาลมีช่องทางรับเรื่องราวร้องทุกข์ร้องทุกข์หรือร้องเรียนเพื่อรับฟังข้อมูลจากประชาชนทุกคน โดยสามารถใช้ช่องทางสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วน 1111 ของรัฐบาล สายด่วน 1567 ของกระทรวงมหาดไทย และสายด่วน 1299 ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)รวมถึงการเปิดช่องทางสอบถามข้อมูลใหม่ คือ “สายด่วนไทยนิยม”ในรูปแบบแอปพลิเคชั่นบนมือถือ เว็บไซต์ และเฟสบุ๊ค เพื่อเป็นการตอบสนองความสะดวกรวดเร็ว และปรับเปลี่ยนให้ทันสมัยพร้อมให้คนไทยทุกคนสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารได้อย่างทั่วถึง ซึ่งเป็นการสร้างกลไกประชารัฐในการช่วยกันทำงานเพื่อพัฒนาชาติบ้านเมืองพร้อมตอบสนองตามความต้องการของประชาชนในแต่ละพื้นที่อย่างเป็นรูปธรรมเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของประชาชน
เมื่อวานที่ผ่านมา (22 มี.ค. 61) นายกรัฐมนตรีพร้อมคณะรัฐมนตรี ได้เดินทางไปตรวจราชการ ณ จังหวัดหนองบัวลำภู เพื่อติดตามการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลของข้าราชการในพื้นที่ โดยมีโอกาสได้กล่าวในเวทีประชาคมหมู่บ้าน ตามโครงการไทยนิยมยั่งยืน ซึ่งมีผู้นำท้องถิ่นและประชาชนในพื้นที่ประมาณ 300 คน เข้าร่วมและให้การต้อนรับเป็นอย่างดี นับว่าเป็นโอกาสที่ดีนายกรัฐมนตรีได้พูดคุยกับประชาชนและรับทราบปัญหาความต้องการของประชาชนโดยตรง พร้อมติดตามเร่งรัดการแก้ไขปัญหาเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับประชาชนและประเทศชาติต่อไป
.....................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
ที่มา: http://www.thaigov.go.th