(ถอดเทป) บทสัมภาษณ์ นรม. กับ นิตยสาร Time
ศุกร์ 1 มิถุนายน 2561 เวลา 14.30 น. ณ ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล
อย่างไรก็ตาม เมื่อเป็นทหารของประเทศ เป็นทหารของประชาชน ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลใดก็ตาม ทหารทุกคนมีบทบาทในเชิงสร้างสรรค์ และในช่วงที่ผ่านมา ผมได้ปฏิบัติตามกฎหมาย กฎระเบียบ ทุกอย่างกับทุกรัฐบาล ซึ่งผมเป็นทหารยาวนานกว่า 40 ปี โดยเป็น ผบ.ทบ. 4 ปี เพราะฉะนั้นผมได้มีการพัฒนาตนเองอยู่เสมอ พัฒนาองค์กรของผมด้วย เพื่อพร้อมที่จะสนับสนุนรัฐบาลในทุกอย่าง
รัฐธรรมนูญฉบับใหม่นี้เป็นรัฐธรรมนูญที่ควรเป็นความคาดหวังของคนไทยทั้งประเทศ และสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจให้กับต่างประเทศด้วย ดังนั้นต้องมีบริบทของความเป็นไทยเข้าไป เพิ่มเติมลงไปด้วยในรัฐธรรมนูญฉบับนี้ด้วย นอกจากนี้ รัฐธรรมนูญปัจจุบันได้ผ่านการประชามติตามกระบวนการประชาธิปไตย โดยมีคนมาลงคะแนนเสียงสนับสนุนคิดเป็น 60% และมีจำนวนคนกว่า 16 ล้านคน ที่มาออกเสียงทำประชามติ ผมถือว่ารัฐธรรมนูญที่ได้มาฉบับนี้น่าจะเป็นรัฐธรรมนูญที่ได้รับการยอมรับจากประชาชน ในการที่จะใช้เป็นรัฐธรรมนูญดำเนินการปกครองและบริหารราชการแผ่นดินต่อไปได้
ในรัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้ตอบโจทย์หลายอย่าง ได้แก่ การมีส่วนร่วม ตรงตามความต้องการของประชาชน ป้องกันการทุจริตคอรัปชั่น การขัดกันของผลประโยชน์ มีกลไกต่าง ๆ ครบถ้วน เพราะไม่อยากให้ประเทศมีความขัดแย้งอีกต่อไป จึงต้องบริหารประเทศตามแนวทางของรัฐธรรมนูญและกฎหมายลูกฉบับต่าง ๆ ที่ประกอบกัน ต้องสอดคล้องกัน เพราะฉะนั้นจะทำให้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ เป็นรัฐธรรมนูญที่เป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้นที่จะใช้ในการบริหารราชการแผ่นดิน
ข้อสำคัญที่สุดก็คือ รัฐธรรมนูญฉบับนี้ เราจะต้องจัดการกฎหมายลูกให้ครบถ้วน และเราก็มี พรบ. หลายตัวที่เราต้องทำขึ้นมาใหม่ ซึ่งเดิมในรัฐธรรมนูญฉบับก่อน ๆ อาจจะจัดทำกฎหมายลูกได้ไม่ครบถ้วน เลยทำให้การบังคับใช้การบริหารราชการแผ่นดินเกิดปัญหาขึ้น จึงมีกฎหมายลูกตามมาอีกเป็นจำนวนมาก ซึ่งเรากำลังดำเนินการอยู่ในขณะนี้
รัฐธรรมนูญฉบับนี้จะพูดถึงยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ซึ่งประเทศไทยไม่เคยเขียนไว้ วันนี้ก็มียุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี มีแผนการปฏิรูป ซึ่งจะต้องสอดคล้องกับแผนของสภาพัฒน์และนโยบายความมั่นคงของชาติ อันนี้เป็นสิ่งสำคัญที่เราทำให้ครบถ้วนทั้งหมด ในกระบวนการของรัฐธรรมนูญทั้งหมดไปจนถึงกฏหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
เพราะฉะนั้น 20 ปี ไม่ได้หมายความว่า เราจะไปผูกขาดอำนาจตลอดไป 20 ปี หรือแก้ไขอะไรเลยไม่ได้ 20 ปี เพราะว่ามันเป็นยุทธศาสตร์ระยะยาว มีการประเมินทุก 5 ปี ปรับเปลี่ยนได้ตลอดเวลา ตามปัจจัยภายนอกที่มีผลกระทบกับการทำงานของเรา ทุกรัฐบาลก็สามารถดำเนินการได้ ไม่ได้มองว่าผมต้องการจะสืบทอดอำนาจต่าง ๆ ไม่เลย
เรามีประชาธิปไตยในประเทศไทยมากว่า 80 ปี แล้ว เพราะฉะนั้นอันนี้ ผมมองว่าเป็นยุคใหม่ของการเมืองไทย ที่กำลังมี New Political Era เรามุ่งสู่อนาคต มีเป้าหมาย มีวิสัยทัศน์ คือ มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ประเด็นเด่นสำคัญก็คือ การมีธรรมาภิบาลในระยะยาว ป้องกันการทุจริต และประชาชนมีส่วนร่วมในการเมืองให้มากยิ่งขึ้น ในช่องทาง ในวิถีทางที่มันถูกต้อง
การไม่เคารพกฎหมาย ก็มีกลุ่มคนแค่บางกลุ่มที่ไม่เคารพกฎหมาย ได้พยายามใช้กฎหมายเป็นตัวกลางในการสร้างความขัดแย้ง ไปสู่ความไม่สงบเรียบร้อยในประเทศไทยในช่วงที่ผ่านมา และเป็นช่วงการตัดสินใจที่ยากที่สุดในชีวิตของผม ก่อนที่ผมจะเข้ามารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งใช้เวลาในการตัดสินใจไม่น้อยกว่า 6 เดือน โดยมิได้เป็นการตัดสินใจมาก่อนล่วงหน้า แต่เป็นไปตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และผมไม่สามารถยอมรับได้หากประเทศเกิดความเสียหายไปมากกว่านี้หรือประชาชนสูญเสียและบาดเจ็บไปมากกว่านี้ ผมจึงตัดสินใจในขณะนั้น และผมก็ทำทุกอย่างให้ดีที่สุด และผมรับฟังปัญหาทุกอย่างที่สะสมในอดีต รับฟังความคิดเห็นของประชาชนจากสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ รวมไปถึงข้าราชการ ผมรับฟังทั้งหมดมาประยุกต์ และประมวลผลว่า จะต้องทำงานไปในทิศทางใด ซึ่งอยากให้เข้าใจถึงเหตุผลและความเป็นมาที่ผมต้องเข้ามารับตำแหน่งนี้
ผมเองไม่ได้ต้องการเข้ามาสู่อำนาจในลักษณะนี้ ไม่เคยคิดจะเป็นนายกรัฐมนตรีแบบนี้ แต่เนื่องด้วยเหตุผลและความจำเป็นดังที่กล่าวไปแล้วว่าจะให้ประเทศชาติล่มสลายไม่ได้ เพราะผมได้ให้เวลาเพื่อปรับเปลี่ยนตามกลไกประชาธิปไตยแบบปกติ ให้มีการเลือกตั้งใหม่ ให้มีการพูดคุยกัน ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายที่ขัดแย้ง แต่ก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ เพราะว่ามีการบาดเจ็บสูญเสีย ใช้อาวุธสงคราม ผมในฐานะเป็นทหารของประชาชนจึงยอมรับไม่ได้ และคนส่วนใหญ่ก็ไม่ต้องการให้เกิดขึ้น นั่นคือการตัดสินใจของผม ตอนนี้ผมต้องการให้ประเทศกลับไปสู่การเป็นประชาธิปไตย หากผมต้องการอำนาจ ผมคงไม่เสนอร่างรัฐธรรมนูญ วาง Roadmap การเลือกตั้ง เพื่อที่จะอยู่ในอำนาจได้ยาวนาน แต่ผมไม่ได้ต้องการแบบนั้น
4 ปีที่ผ่านมา ไม่ใช่ 4 ปี แห่งการใช้อำนาจ เป็น 4 ปีแห่งการแก้ปัญหาเดิมและอุปสรรคเดิม พร้อมกับสร้างความมีเสถียรภาพและเดินไปข้างหน้า มองถึงอนาคต ซึ่งสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ผมคิดมาตลอด และได้ดำเนินการตามนี้มาโดยตลอด และวันนี้มันก็ถึงเวลาแล้วว่า จะต้องเดินหน้าไปสู่การเลือกตั้งอันเป็นประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์ ผมก็ได้กำหนดวิธีทางไว้ทั้งหมดแล้ว เมื่อรัฐธรรมนูญพร้อม กฎหมายลูกพร้อม ก็สามารถเลือกตั้งได้ ผมไม่เคยหวงหรือยึดอำนาจไว้
ประเทศของเรา ตามที่ท่านได้พูดเรื่องเศรษฐกิจดีขึ้น การท่องเที่ยวดีขึ้น สิ่งเหล่านี้คือศักยภาพของไทยอยู่แล้ว รัฐบาลทุกรัฐบาลต้องนำศักยภาพเหล่านี้มาขับเคลื่อนให้ได้จริง ตอบให้ตรงความต้องการของประชาชน นี่คือสิ่งสำคัญ
ประเทศไทยติดกับดักรายได้ปานกลาง ติดอยู่ในการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 3 ใช้เครื่องจักรขนาดเล็ก ขนาดใหญ่ มาประมาณ 40 ปีแล้ว ตอนนี้โลกก้าวไปสู่การปฏิวัติอุตสาหกรรมที่ 4 เราจึงมีนโยบาย Thailand 4.0 เพื่อผลักประเทศไทยให้มีรายได้สูงขึ้น มีหลายมาตรการ เช่น EEC เพิ่มการลงทุนใน 3 จังหวัดภาคตะวันออก ต่อยอดจากการพัฒนาเมื่อ 40 ที่แล้ว ในโครงการ Eastern Sea Board มาสู่โครงการ EEC IEECD การวิจัยพัฒนา เมืองอัจฉริยะ พัฒนาดิจิทัลให้สอดคล้องกับการเติบโตของโลก ด้านเทคโนโลยี และดิจิทัล เพราฉะนั้น นโยบายของไทยส่วนนี้จะสอดคล้องกับการพัฒนาของต่างประเทศด้วย เช่นของ อินโด แปซิฟิก และนโยบาย One Belt One Road เป็นนโยบายในภูมิภาคนี้ทั้งนั้น ส่วนสำคัญคือต้องมีความพร้อมของสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน มีการพัฒนาตัวเอง เราจึงไปร่วมกับการพัฒนาเหล่านี้ โดยไทยจะมีการพัฒนาอุตสาหกรรมใหม่ที่จะเกิดขึ้นทั้ง 10 และอุตสาหกรรมเดิม 5 จะเพิ่มรายได้ให้ประเทศ จะนำรายได้นี้มาดูแล ช่วยพัฒนาประชาชนที่มีรายได้ต่ำ โดยเฉพาะเกษตรกร เมื่อ EEC ได้รับความสำเร็จ ก็จะเป็นโมเดลไปพัฒนาพื้นที่อื่นของประเทศ จะเป็นแผนในอนาคต ในอีก 20 ปีข้างหน้า และเราต้องนำโครงการนี้ไปต่อยอดเป็น East-West Corridor และ North South Corridor ไปยังภาคอื่นๆ ในอนาคต
ทุกๆประเทศ มีความสำคัญต่อไทยทั้งหมด เราต้องสร้างสมดุลให้ได้ทั้งด้านความมั่นคง การค้า การลงทุน สังคมเศรษฐกิจ ต่างๆ เพราะเราอยู่ในโลกใบเดียวกัน อากาศเดียวกัน อยู่บนพื้นดินที่ติดต่อกันทั้งโลก น้ำ เกาะ มหาสมุทร ติดต่อกันทั้งหมด เราล้วนเป็นมนุษยชาติ ถือว่าประเทศไทยมีส่วนร่วมกับทุกคนในการที่จะดูแลมนุษย์ชาติ ให้สงบ สันติ อย่างยั่งยืน ผมคิดอย่างนี้
เราต้องสร้างสมดุลให้ได้ในทุกมิติ อันที่ 1 ก็ คือ สร้างสมดุลกับประเทศมหาอำนาจต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น EU ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐ ฯ เราก็ให้ความสำคัญกับประเทศหมู่เกาะ ประเทศมุสลิม ประเทศ CLMV, ASEAN, Africa เราให้ความสำคัญกับทุกกลุ่ม ในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน Stronger Together นี้คือ วิสัยทัศน์ของผม ผมไม่ได้ทำหน้าที่เพื่อคนไทย ผมทำหน้าที่เพื่อคนอื่นไปด้วย
ถามว่า EEC ผมมั่นใจไหม ไม่ใช่อยู่ดีๆ คิดทำ EEC ขึ้นมา โดยไม่มีการประเมินว่ามีความคุ้มค่าหรือไม่ สิ่งสำคัญที่กลับมาให้กับประเทศเราจะมากน้อยอย่างไร สิ่งที่เราประเมินไว้ 5 ปีแรก เศรษฐกิจจะมีการขยายตัวขึ้นอย่างน้อย ร้อยละ 5 ต่อปี ซึ่งสูงสุดในรอบ 5 ปี ที่ผ่านมา เกิดการจ้างงานแสนอัตราต่อปี สร้างฐานภาษีใหม่ไม่ต่ำกว่า 1 แสนล้านบาท ดึงดูดนักท่องเที่ยวกว่า 10 ล้านคนต่อปี วันนี้ก็ 30 กว่าล้านแล้วนะครับ ก็ต้องเพิ่มให้ได้อีก ลดรายจ่ายได้ 2 แสนล้านบาท สร้างฐานรายได้ให้เพิ่มไม่น้อยกว่า 4.5 แสนล้านบาท พูดถึงการลงทุน มูลค่าส่งเสริมการลงทุน ใน EEC สูงถึง 9.6 พันล้านดอลลาห์สหรัฐ ฯ ในปี 60 นะ ในปี 61 ตั้งไว้ 1.5 หมื่นล้านสหรัฐ ฯ จะช่วยกระจายรายได้ เพิ่มงาน เพิ่มการท่องเที่ยว ข้อสำคัญ คือ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ด้วย เพิ่มฝีมือแรงงาน และตอบรับสังคมผู้สูงวัย ที่จะมาภายใน 5 ปี 10 ปี ข้างหน้า จะสูงขึ้นในอนาคต มองไปข้างหน้าด้วยซึ่ง EEC จะตอบปัญหาเหล่านี้ได้
ที่บอกว่าต้องให้มี GDP สูงขึ้น 5 เปอร์เซ็นต์ เพราะตอนนี้ที่เราทำมา 4 ปีที่ทำมา เราทำได้ 4 เปอร์เซ็นต์ แล้ว เพราะฉะนั้นถ้า EEC มาเสริมอีกอาจจะทำให้ขึ้นเป็น 5 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งสิ่งนี้เป็นความหวังของเราหรืออาจจะมากกว่านั้นก็ได้
ในส่วนของไทย – จีน วันนี้ เราร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ มีความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ไทย – จีน ฉบับที่ 3 ซึ่งเป็นความร่วมมือในทุกมิติ ซึ่งสิ่งนี้เป็นเรื่องของไทยกับจีน ในส่วนของสหรัฐอเมริกา เราเป็นมิตรประเทศ หรือ ที่เรียกว่า Good Friends มีความสัมพันธ์ที่ดีมายาวนาน ตอนนี้ก็เพิ่งจัดงานในไทยไป ภายใต้ชื่อ Great and Good Friends เราเข้าใจดีว่าทั้งสหรัฐฯ และจีน อยู่ในช่วงของการเปลี่ยนแปลง เพราะฉะนั้นไทยที่เป็นมิตรกับทุกประเทศ ก็พร้อมยินดีร่วมมือกับทั้งสหรัฐฯ และจีน บนพื้นฐานของ 3M คือ ความไว้เนื้อเชื่อใจ การเคารพซึ่งกันและกัน และการมีผลประโยชน์ร่วมกันอย่างเป็นธรรมและเท่าเทียม
Time: จีนมีระบอบการปกครองที่แตกต่างจากประเทศตะวันตก กล่าวคือระบอบประชาธิปไตย ซึ่งประเทศไทยและอีกหลายประเทศในภูมิภาคดูเหมือนว่ามีแนวโน้มจะมาใช้แนวทางดังกล่าว ท่านมีความคิดเห็นอย่างไร?
นรม. : แนวทางมันก็มีส่วนดี ทุกอย่างก็ต้องมีส่วนดีส่วนไม่ดี เพราะฉะนั้นก็อยู่ที่แต่ละประเทศจะเลือกใช้ ไม่ใช่ใช้อย่างนี้แล้วมันจะดีที่สุด อย่างเช่นการเป็นประชาธิปไตย เราก็มีประชาธิปไตยเป็นพื้นฐานและหลักเกณฑ์ ในส่วนปลีกย่อยที่ต้องให้เหมาะสมและของแต่ละประเทศก็มีความแตกต่างอยู่บ้าง ไม่ใช่นำมาแล้วจะดีและเหมาะสมทั้งหมด ต้องมีการประยุกต์และใช้ให้ได้ ไทยเองยืนยันว่าเราเป็นประชาธิปไตยที่เป็นสากลแบบตะวันตก เป็นประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เราก็ต้องทำในแบบของเรา แต่เราก็ต้องหาวิธีว่าจะทำอย่างไรให้เกิดความร่วมมือได้ ไม่ว่าจะปกครองอย่างไรก็ตาม ต้องร่วมมือกันให้ได้ หาจุดที่จะมาสานสัมพันธ์กันให้ได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดไม่ว่าจะปกครองแบบใดก็แล้วแต่
เพราะฉะนั้น สิ่งสำคัญที่สุดของ หลักการประชาธิปไตย คือ หลักการที่เคารพเสียงส่วนใหญ่ และต้องดูแลเสียงส่วนน้อยด้วย แต่ที่ผ่านมา ประชาธิปไตยของประเทศไทยสมัยก่อน เป็นแบบเคารพเสียงส่วนใหญ่เท่านั้น มิได้ดูแลเสียงส่วนน้อย ดังนั้นผมจึงเข้ามาแก้ไขปัญหานี้ เพื่อให้เกิดการรับฟังความคิดเห็น 2 ทาง การสื่อสาร 2 ทาง มีการใช้ Big Data ในการบริหารราชการแผ่นดิน มีการใช้ช่องทางออนไลน์ เพื่อเปิดช่องทางการเข้าถึงรัฐบาลได้ตลอดเวลา เรามีศูนย์ดำรงธรรม ที่รับฟังและแก้ไขปัญหาของประชาชน มากกว่า 2 ล้านเรื่อง ตลอดระยะเวลา 4 ปี และรัฐบาลสามารถแก้ไขปัญหาไปได้ร้อยละ 90 ของปัญหาทั้งหมด ปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ไม่ได้รับการแก้ไข เราแก้ไขไปมากกว่าล้านกว่าเรื่อง
เราต้องพิจารณาเจตนาของคนส่วนน้อยเหล่านี้ว่ามีเจตนาบริสุทธิ์หรือไม่ หากมีเจตนาบริสุทธิ์ รัฐบาลก็ต้องรับฟัง แต่หากเจตนาดังกล่าวไม่บริสุทธิ์ จำเป็นต้องดำเนินการตามกฎหมาย วันนี้ก็กำลังมีปัญหาอยู่ในประเทศไทยตอนนี้ ต้องไปดูเจตนารมณ์ของเสียงส่วนน้อย ฝ่ายใดเป็นคนกระทำ เพื่อไม่ให้เกิดความสับสนอลม่าน มิให้คนส่วนใหญ่เสียผลประโยชน์ไปด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมให้ความสำคัญในเรื่องเหล่านี้
วันนี้เราเปิดช่องทาง มี พรบ.การชุมนุม ถ้าชุมนุมโดยปกติ มาเรียกร้องอะไร รัฐบาลก็อนุญาตและพิจารณาให้ตลอด แต่หากสร้างความขัดแย้งในที่สาธารณะ เดี๋ยวก็จะมีอีกกลุ่มมาต่อต้าน ก็จะตีกันเหมือนเดิม กลุ่มนี้จึงเป็นกลุ่มที่มาจากการเมือง มีการเมืองเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย อีกกลุ่มที่ต้องการความสงบสันติสุข เขาก็จะเตรียมรวมกลุ่มออกมาเพื่อต่อต้านกลุ่มนี้ ก็จะกลับไปที่เดิม จึงต้องมีการบังคับใช่กฎหมายบ้าง
เรื่องของการละเมิดสิทธิมนุษยชนของเจ้าหน้าที่ในสมัยรัฐบาลนี้ลงโทษหมด ไม่ว่าการบังคับใช้กฎหมายอะไรในปัจจุบัน ลงโทษหมด เจ้าหน้าที่ก็ลงโทษ ใช้กำลังเกินกว่าเหตุ มีการกล่าวอ้างว่ามีการทำร้ายร่างกาย ก็ลงโทษหมด หลายอย่าง ถือว่ารัฐบาลนี้แก้ไขได้มากที่สุด แต่เรื่องการละเมิดที่เค้าอ้างกันมา ที่เด็กๆไปละเมิดทางการเมืองอะไรทำนองนี้ก็ต้องไปดูว่า จะทำให้บ้านเมืองสงบสุขได้อย่างไร
เขาต้องการให้มีการจับกุม เราก็ปล่อย แล้วก็มีการดำเนินการให้หยุดการชุมนุม แล้วก็เลิกหลายครั้งแล้ว แล้วก็มาใหม่ มาใหม่ ต้องการให้ภาพการจับกุม การใช้ความรุนแรง เพื่อจะไปข้างนอก อันนี้อาจจะเป็นกระบวนการทำของใครซักคน ผมไม่อยากไปกล่าวถึง
TIMES: ขอถามถึงความเป็นมาก่อนที่ท่านจะมาเป็นนายกรัฐมนตรี ทำไมท่านจึงตัดสินใจเลือกที่จะมารับราชการทหาร?
นรม. : เพราะว่าอันที่หนึ่งคือ ครอบครัวผมเป็นทหาร ตอนเด็กๆบ้านผมอยู่ในค่ายทหาร ผมเห็นการมีระเบียบวินัย เห็นความเข้มแข็ง ความอดทนของเค้า เห็นถึงความรักชาติ ไปประจำอยู่ชายแดน ไปรบต่างประเทศ ก็นึกในใจไว้ว่าเรามาเป็นทหาร เราต้องเสียสละ เราต้องทำเพื่อสถาบัน สิ่งที่เกิดกับผมมาตั้งแต่เด็ก ไม่เคยคิดเป็นอย่างอื่นตั้งแต่เด็ก แต่ไม่ได้คิดว่าจะเป็น ผบ.ทบ. จะเป็นใหญ่เป็นโต ขอแค่เป็นทหาร นั่นคือความคิดเด็กๆของผมนะ แล้วก็ไม่เคยคิดที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีด้วย
บทกวีบางบท คำบางคำ สามารถทดแทน คำพูดหลายหมื่นคำ ไม่ต้องสิ้นเปลืองเสียเวลา ผมอาจใช้บทกวีแทนคำพูดซัก 5 หน้ากระดาษก็ได้ แสดงให้เห็นว่าความคิดผมไม่เคยหยุดนิ่ง ผมจะร้อยเรียงทุกอย่างหมดในหัวผม เรื่องการบรูณาการ การบริหารจัดการ 20 กระทรวง ทุกอย่างอยู่ในหัวผมทั้งนั้น แล้วผมต้องจัดระเบียบสมองผมให้ได้ เพราะฉะนั้นการเขียนบทกวี บทกลอน ช่วยให้ผมเรียบเรียงได้ในหัวผม ช่วยตัวผมเองด้วย และการถ่ายทอดไปยังคนอื่นด้วย
TIME : นายกรัฐมนตรีจะทำอะไร เมื่อท่านพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้ว?
นรม. : ผมจะกลับบ้านไปพักผ่อนกับครอบครัว ผมต้องให้เวลากับครอบครัวให้มากขึ้น ผมมีชีวิตในการเป็นทหารมา 40 ปี ในช่วงเวลา 40 ปี ผมได้อยู่กับครอบครัวมาช่วง 10 ปีสุดท้าย และลูกผมก็เรียนจบมหาวิทยาลัยแล้ว เพราะผมอยู่ต่างจังหวัดมาโดยตลอด และเพิ่งย้ายเข้ามาอยู่กรุงเทพฯ เมื่อรับตำแหน่งผู้บัญชาการระดับสูง วันนี้ผมยังติดค้างลูกอยู่ว่า หากผมเกษียณอายุราชการทหารแล้ว ผมจะพาลูกไปพักผ่อน ไปสถานที่ต่างๆ ซึ่งผมไม่เคยไปกับลูก ส่วนใหญ่ก็เป็นหน้าที่ของภรรยาที่พาลูกไป ผมถือว่าเป็นการเสียสละของครอบครัวอย่างยิ่ง และช่วง 4 ปีทีผ่านมา ความเป็นอิสระของคนในครอบครัวลดลง เนื่องจากการเดินทางที่สาธารณะต้องมีความมัดระวัง ซึ่งผมไม่อยากให้เป็นภาระของคนในครอบครัว เพราะฉะนั้นผมถือว่าครอบครัวเป็นสิ่งสำคัญในสังคมไทย รวมไปถึงทุกประเทศก็เป็นเช่นเดียวกัน ในการให้ความสำคัญกับครอบครัว เพราฉะนั้นผมจึงต้องให้เวลากับคนในครอบครัว หากวันหนึ่งผมไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีผมก็จะไปพักผ่อน อย่างไรก็ตาม ผมไม่สามารถระบุตรงนี้ได้ ผมได้แค่บอกคนในครอบครัวผมว่า ประเทศชาติต้องสำคัญกว่าทุกอย่าง ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ประเทศชาติต้องมาก่อนเสมอ โดยเฉพาะประเทศชาติ และประชาชน อันมีสถาบันอันเป็นที่รักยิ่ง ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชน นั่นคือหัวใจผมของลูกๆ
TIME: หลังจาก ก.พ.๖๒ ท่านจะพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ? หรือจะกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลใหม่?
นรม. : ผมคิดว่าเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องสถานการณ์ในวันข้างหน้า ว่า เราต้องการสิ่งใด รวมไปถึงการสานต่อการทำงาน ผมยังไม่ได้คิดนอกเหนือจากเรื่องดังกล่าว ซึ่งผมไม่สามารถกำหนดว่าผมจะอยู่ในฐานะใด โดยขึ้นอยู่กับประชาชน และสถานการณ์ในวันข้างหน้า ผมไม่สามารถกำหนดเองได้ เมื่อถึงเวลานั้นก็จะเป็นเรื่องของประชาธิปไตย รวมถึงการเลือกตั้ง และเป็นสถานการณ์ที่เราไม่สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้ ซึ่งต้องรอดูต่อไป
TIME: การที่ท่านเกิดที่จังหวัดนครราชสีมา ท่านคิดว่า ท่านเป็นคนอีสาน? หรือเป็นคนไทย? หรือ เป็นทหารมากที่สุด?
นรม. : พ่อของผมเป็นคนกรุงเทพฯ แม่ของผมเป็นคนภาคอีสาน และวันนี้ผมเป็นทหารมา 40 ปี ผมเป็นทหารให้กองทัพบก ดูแลคนทั้งประเทศ ในวันนี้ผมมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ไม่ใช่การเป็นทหารในแต่ละภูมิภาค แต่เป็นนายกรัฐมนตรีของคนทั้งประเทศ โดยมีจำนวน 70 ล้านคน ทั้ง 77 จังหวัด นี่คือตัวตนของผม
TIME: ผมได้คุยกับกลุ่มเห็นต่างทางการเมืองจำนวนหนึ่ง ท่านคิดว่าการบริหารประเทศของท่านในปัจจุบัน เป็นการยุติความรุนแรงทางการเมืองหรือไม่?
นรม. : ในวันนี้ต้องการที่จะทำให้คนมีความสุข เกิดการปรองดองกัน ไม่แค่ผมรักแค่คนเดียว แต่ขึ้นอยู่กับจิตใจของคนไทยทุกคน รวมไปถึงนักการเมือง และทุกอาชีพ ต้องมีจิตใจมาก่อน ในเรื่องปรองดองสมานฉันท์ ไม่แบ่งฝ่าย ในตอนแรกผมคิดว่าคนไทยในทั้งประเทศมีความพร้อมในเรื่องดังกล่าว แต่ก็มีบางคนที่พยายามแบ่งฝ่าย ซึ่งปัญหาดังกล่าวเราก็จะต้องใช้วิธีการที่เหมาะสม โดยปราศจากความรุนแรง ซึ่งผมมีความเป็นห่วงตรงจุดนี้ แต่สิ่งที่ผมได้ทำไป ผมไม่ได้คิดเอง เพราะได้มีการคิดวิเคราะห์ มีกระบวนการต่างๆ ที่นำไปสู่การปฏิบัติ ซึ่งน่าจะเป็นวิธีการที่ดีที่สุด เพื่อนำประเทศไทยไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ในขณะเดียวกัน ด้วยความเข้าใจของคนไทยทุกคนต้องไม่เลือกกฎหมาย ไม่เลือกการบังคับ ซึ่งที่ผ่านมาผมบังคับคนในกองทัพบกรักษาวินัยควบคุมหน่วยทหารมา 40 ปี และเป็นผบ.ทบ. 4 ปี ทำให้ผมเบื่อในการใช้กฎหมาย แต่ก็จำเป็นต้องทำในสถานการณ์ขณะนี้ นอกจากนี้ การปฏิรูปต้องเริ่มจากทุกคน มาจากหัวใจของคนไทยทุกคน
ที่มา: http://www.thaigov.go.th