รอง นรม. พลเอก ฉัตรชัยฯ เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนโครงการขนาดใหญ่และโครงการสำคัญ ครั้งที่ 1/2561

ข่าวทั่วไป Wednesday July 18, 2018 15:09 —สำนักโฆษก

ผลการประชุมคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนโครงการขนาดใหญ่และโครงการสำคัญ ครั้งที่ 1/2561

วันนี้ ( 18 กรกฎาคม 2561) เวลา 13.30 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ1 ทำเนียบรัฐบาล พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนโครงการขนาดใหญ่และโครงการสำคัญ ครั้งที่ 1/2561 ซึ่งผลการประชุมสรุปสาระสำคัญดังนี้

ที่ประชุมเห็นชอบแนวทางเร่งรัดโครงการขนาดใหญ่และโครงการสำคัญ ตามมติ กนช.ที่ต้องการให้มีการขับเคลื่อนโครงการสำคัญให้สำเร็จ จนถึงขั้นตอนการก่อสร้าง ตามที่สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กำหนดพื้นที่การแก้ไขอุทกภัยและภัยแล้งอย่างเป็นระบบ (Area Based) ว่า มีจำนวน 66 พื้นที่ รวม 29.70 ล้านไร่ โดยมีโครงการขนาดใหญ่และโครงการสำคัญที่สามารถแก้ปัญหาในพื้นที่ ซึ่งเป็นไปตามแผนยุทธศาสตร์การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี (ปี 2561 - 2580) รวมทั้งสิ้นกว่า 300 โครงการ ทั้งนี้ ในช่วงปี 2562 - 2565 มีโครงการขนาดใหญ่และโครงการสำคัญจำนวน 31 โครงการ แบ่งเป็นภาคเหนือ 4 โครงการ ภาคกลาง 13 โครงการ ภาคอีสาน 10 โครงการ ภาคตะวันออก 2 โครงการ และภาคใต้ จำนวน 2 โครงการ

สำหรับโครงการที่รัฐบาลจะเริ่มขับเคลื่อนให้เกิดขึ้นเป็นรูปธรรมได้ในปี 2562 มีจำนวน 9 โครงการ เมื่อโครงการแล้วเสร็จสามารถเพิ่มปริมาณน้ำได้ 379 ล้าน ลบ.ม. พื้นที่รับประโยชน์ 840,201 ไร่ ได้แก่ 1) โครงการบรรเทาอุทกภัยเมืองนครศรีธรรมราช อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดนครศรีธรรมราช 2) โครงการพัฒนาลุ่มน้ำห้วยหลวงตอนล่าง จังหวัดหนองคาย 3) โครงการประตูระบายน้ำศรีสองรัก อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดเลย 4) โครงการประตูระบายน้ำน้ำพุง-น้ำก่ำ จังหวัดสกลนคร 5) โครงการประตูระบายน้ำบ้านก่อ จังหวัดสกลนคร 6)โครงการอ่างเก็บน้ำลำน้ำชี อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดชัยภูมิ 7) โครงการบรรเทาอุทกภัยเมืองชัยภูมิ (ระยะที่ 1) จังหวัดชัยภูมิ 8) โครงการอ่างเก็บน้ำลำสะพุงตอนล่าง อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดชัยภูมิ และ 9) โครงการคลองระบายน้ำ บางบาล-บางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

ทั้งนี้ การขับเคลื่อนโครงการขนาดใหญ่และโครงการสำคัญครั้งนี้ สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์น้ำที่ได้กำหนดเป้าหมายเป็น 3 ระยะ คือ ระยะเร่งด่วนปี 2558 – 2559 โดยพัฒนาโครงการขนาดเล็กที่ทำได้ทันที เช่น แก้มลิง สระน้ำในไร่นา การเพิ่มความจุอ่างเก็บน้ำเดิม พร้อมศึกษาเตรียมความพร้อมโครงการขนาดใหญ่ โครงการสำคัญที่มีผลกระทบ ระยะสั้นปี 2560 – 2561 เริ่มพัฒนาโครงการขนาดกลาง และทำแผนแม่บทพัฒนาลุ่มน้ำทั้งระบบ เช่น แผนบรรเทาอุทกภัยเจ้าพระยา การศึกษาพื้นที่ Area Based การก่อสร้างอ่างฯ 4 แห่ง ใน จังหวัดจันทบุรี เพื่อรองรับการเติบโตของภาคตะวันออก อ่างเก็บน้ำป่าละอู อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ อ่างเก็บน้ำน้ำปี้ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดพะเยา และระยะกลางปี 2562 – 2565 เพื่อพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ โครงการสำคัญ โดยเร่งทำความเข้าใจกับชุมชน ควบคู่กับการสำรวจออกแบบโครงการอย่างรอบคอบ เช่น คลองระบายน้ำหลากบางไทร - บางบาล

อย่างไรก็ตาม วันที่ 25 กรกฎาคม นี้ รองนายกรัฐมนตรีจะเตรียมลงพื้นที่ติดตามโครงการที่เริ่มก่อสร้างไปแล้วบางส่วน ควบคู่กับการติดตามโครงการคลองระบายน้ำหลากบางบาล-บางไทรเป็นแห่งแรก เพื่อรับฟังปัญหาอุปสรรคและหาแนวทางแก้ไขร่วมกันอย่างต่อเนื่องทุกเดือนตามความเหมาะสมต่อไป พร้อมกันนี้ ที่ประชุมรับทราบตามที่นายสมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ชี้แจงถึงความคืบหน้าในการติดตามสถานการณ์น้ำ และพายุ “เซินติญ”ที่กรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ว่าในช่วงวันที่ 18 – 21 กรกฎาคมจะส่งผลกระทบกับประเทศไทยบริเวณภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่จะมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางพื้นที่ ประธานฯ จึงได้กำชับให้ทุกหน่วยงานเร่งติดตามสถานการณ์และแนวโน้มดังกล่าวอย่างใกล้ชิดเพื่อประเมินแผนการป้องกันเหตุ ตลอดจนการให้ความช่วยเหลือและแจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่ได้ทันต่อสถานการณ์ตามแผนรับมือน้ำหลากปี 2561 ที่ได้มีการบูรณาการทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนไว้ล่วงหน้าแล้ว

-----------------------------------

กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก

ที่มา: http://www.thaigov.go.th


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ