นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมการดำเนินงานศูนย์เรียนรู้ผักอินทรีย์เมืองธรรมเกษตร ไร่ภูตะวัน ออร์แกนิคฟาร์ม จ.อำนาจเจริญ

ข่าวทั่วไป Monday July 23, 2018 14:01 —สำนักโฆษก

นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมการดำเนินงานศูนย์เรียนรู้ผักอินทรีย์เมืองธรรมเกษตร ไร่ภูตะวัน ออร์แกนิคฟาร์ม จ.อำนาจเจริญ ชื่นชมการดำเนินงาน ย้ำให้ปลูกพืชสอดคล้องกับปริมาณน้ำ-สภาพดินในพื้นที่ แนะประชาชนเรียนรู้ตลอดเวลา ปรับตัวเองให้ทันกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง

วันนี้ (23 ก.ค.61) เวลา 09.50 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และคณะ อาทิ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ฯลฯ ได้เดินทางไปตรวจราชการและประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ณ จังหวัดอำนาจเจริญ และจังหวัดอุบลราชธานี ระหว่างวันที่ 23 – 24 กรกฎาคม 2561 โดยได้ออกเดินทางจากท่าอากาศยานทหาร กองบิน 6 (บน.6) ดอนเมือง กรุงเทพฯ โดยเครื่องบิน Airbus 320 ของกองทัพอากาศ ไปยังท่าอากาศยานทหาร กองบิน 21 จังหวัดอุบลราชธานี เพื่อเดินทางไปเยี่ยมชมการดำเนินงานของศูนย์เรียนรู้ผักอินทรีย์เมืองธรรมเกษตร ไร่ภูตะวัน ออร์แกนิคฟาร์ม บ้านหนองเม็ก ตำบลคึมใหญ่ อำเภอเมือง จังหวัดอำนาจเจริญ โดยมีนายสุริยะ อมรโรจน์วรวุฒิ ผู้ว่าราชจังหวัดอำนาจเจริญ คณะผู้บริหารจังหวัดอำนาจเจริญ เกษตรจังหวัด เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ตัวแทนกลุ่มเกษตรกรผักอินทรีย์บ้านหนองเม็ก และประชาชนในพื้นที่ให้การต้อนรับ

โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้รับฟังบรรยายสรุปผลการดำเนินงานศูนย์เรียนรู้ผักอินทรีย์จากนายศุภชัย มิ่งขวัญ ฝ่ายการตลาดของศูนย์เรียนรู้ผักอินทรีย์ฯ ที่นำประสบการณ์ องค์ความรู้ และเทคโนโลยีจากประเทศอิสราเอลมาปรับใช้ในการพัฒนาต่อยอดการทำเกษตรอินทรีย์ โดยเฉพาะการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ผ่านโทรศัพท์มือถือหรือสมาร์ทโฟนในการควบคุมระบบน้ำหยดให้เหมาะสมกับพืชและสภาพพื้นที่ จนสามารถลดต้นทุนการผลิตทั้งแรงงาน ค่าใช้จ่าย ส่งผลให้คุณภาพและปริมาณผลผลิตเพิ่มขึ้น ตลอดจนการบริหารจัดการด้านการตลาดอย่างเป็นระบบ ทั้งนี้ ศูนย์เรียนรู้ผักอินทรีย์เมืองธรรมเกษตร ไร่ภูตะวัน ออร์แกนิคฟาร์ม จัดตั้งขึ้นภายใต้กลุ่มเกษตรอินทรีย์บ้านหนองเม็กและวิสาหกิจชุมชนข้าวอินทรีย์บ้านหนองเม็ก เป็นพื้นที่ต้นแบบการพัฒนาเกษตรอินทรีย์ของจังหวัด การพัฒนาเกษตรอินทรีย์ที่นี่มีจุดเริ่มต้นจากบทเรียนการใช้สารเคมีของเกษตรกร แกนนำซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ได้ตระหนักถึงปัญหาและเห็นความสำคัญของวิถีการดูแลสุขภาพ จึงใช้ประสบการณ์ องค์ความรู้และเทคโนโลยีจากประเทศอิสราเอล มาประยุกต์กับการทำเกษตร โดยปลูกผักอินทรีย์ในโรงเรือน ภายใต้หลักการ “การตลาดนำการผลิต” มีวางแผนการผลิตอย่างเป็นระบบ เพื่อให้สามารถมีผลผลิตป้อนเข้าสู่ตลาดได้ตลอดทั้งปีรวมทั้งมีการรวมกลุ่มเพื่อให้มีอำนาจในการต่อรอง ผลผลิตหลัก ได้แก่ ผักอินทรีย์ในโรงเรือน และผลผลิตรองชนิดอื่น ๆ เช่น ข้าวอินทรีย์ สมุนไพร ข้าวโพด กล้วย ทุเรียน เงาะ ไก่ไข่ อินทรีย์และปลาอินทรีย์ การพัฒนาเกษตรอินทรีย์ที่นี่มีความสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาของจังหวัดอำนาจเจริญในเรื่องเมืองธรรมเกษตร หรือเมืองเกษตรอินทรีย์วิถีธรรม ที่เกษตรกรมีคุณธรรมในการทำการเกษตร และวิสัยทัศน์ของจังหวัดอำนาจเจริญที่ว่า “เมืองธรรมเกษตร เขตพัฒนาเศรษฐกิจพอเพียง เส้นทางการค้าสู่อาเซียน” ซึ่งยังสอดคล้องกับแนวคิดการสร้างเกษตรกรรุ่นใหม่ให้กลับไปพัฒนาชนบทด้วยการพึ่งตนเองอย่างยั่งยืน โดยสามารถเป็นต้นแบบการพัฒนาเกษตรอินทรีย์ให้กับเกษตรกรทั่วประเทศ

ผลการดำเนินงานและความสำเร็จ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2558 เป็นต้นมา กลุ่มเกษตรอินทรีย์บ้านหนองเม็ก ได้ขยายกำลังการผลิตจากเดิมพื้นที่ 100 ไร่ โรงเรือนปลูกผัก 40 หลัง ส่งผักรอบแรก 200 กิโลกรัมต่อสัปดาห์ ปัจจุบันขยายพื้นที่การเพาะปลูกเป็น 150 ไร่ โรงเรือนปลูกผัก 87 หลัง มีกำลังการผลิตเฉลี่ย 1.5 - 2 ตัน/สัปดาห์หรือประมาณ 7 - 10 ตัน/ เดือน สามารถสร้างรายได้ให้กับสมาชิกกลุ่มและคนในชุมชนโดยการจ้างแรงงาน 35 คน ค่าตอบแทนวันละ 300 บาท นอกจากนี้ยังขยายเครือข่าย และเพิ่มกำลังการผลิตให้เพียงพอต่อความต้องการของตลาด โดยมีกลุ่มเครือข่ายที่สำคัญ ได้แก่ เครือข่ายภายในจังหวัดอำนาจเจริญ เช่น กลุ่มเกษตรอินทรีย์บ้านโคกกลาง กลุ่มเกษตรอินทรีย์บ้านโนนขี้เหล็ก และเครือข่ายภายนอกจังหวัดอำนาจเจริญ ได้แก่ สหกรณ์เกษตรอินทรีย์ อุบลราชธานี มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี และในปี 2561 ได้ก่อตั้งศูนย์เรียนรู้ผักอินทรีย์เมืองธรรมเกษตร ไร่ภูตะวัน ออร์แกนิค ฟาร์ม เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้และถ่ายทอดความรู้การผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์ และเป็นต้นแบบผักอินทรีย์เมืองธรรมเกษตรแห่งแรกของจังหวัดอำนาจเจริญ พัฒนาตามวิสัยทัศน์จังหวัดอำนาจเจริญ “เมืองธรรมเกษตร เขตพัฒนาเศรษฐกิจพอเพียง เส้นทางการค้าสู่อาเซียน”

จากนั้น นายกรัฐมนตรี ได้พบปะทักทายกับเกษตรกรและประชาชนในพื้นที่ โดยได้กล่าวว่ารู้สึกดีใจที่ได้มาพบปะกับประชาชนในจังหวัดอำนาจเจริญ การมาครั้งนี้เป็นการมาเยี่ยมเยือนประชาชนภาคอีสานตอนล่าง เพื่อหาแนวทางที่จะทำใหประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ซึ่งเป็นหน้าที่ของรัฐบาล และไม่เกี่ยวข้องการเมืองแต่อย่างใด และมาเพื่อมุ่งหวังจะแก้ไขปัญหาต่าง ๆ เช่น เรื่องหนี้นอกระบบ รายได้ การเกษตร ฯลฯ ให้เร็วที่สุดรองรับรัฐบาลใหม่ที่จะเข้ามาบริหารประเทศต่อไป

นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวชื่นชมการดำเนินงานของศูนย์เรียนรู้ผักอินทรีย์เมืองธรรมเกษตร ไร่ภูตะวัน ออร์แกนิคฟาร์ม บ้านหนองเม็ก และนายศุภชัยฯ ที่นำประสบการณ์ องค์ความรู้ และเทคโนโลยีจากประเทศอิสราเอลมาปรับใช้ในการพัฒนาต่อยอดการทำเกษตรอินทรีย์ และการใช้การตลาดนำการผลิต และมีการรวมกลุ่มเกษตรกร สามารถผลิตพืชผลการเกษตรตรงกับความต้องการของประชาชนและผู้บริโภค ซึ่งเป็นไปตามนโยบายรัฐบาลปัจจุบันที่ต้องการส่งเสริมการพัฒนาเกษตรอินทรีย์อย่างเป็นระบบซึ่งจะทำให้ประชาชนได้บริโภคอาหารปลอดภัย เกษตรกรก็ไม่ต้องเสี่ยงกับการใช้สารเคมีในการทำเกษตรกรรมและสามารถนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรีย้ำให้มีการปลูกพืชให้สอดคล้องกับปริมาณน้ำและสภาพดินในพื้นที่ ซึ่งจะทำให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพและมีปริมาณเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามการดำเนินการต้องมองระยะยาวโดยทุกคนต้องร่วมมือกัน โดยรัฐบาลได้มีการวางยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ซึ่งครอบคลุมไปถึงเรื่องของเกษตรและการใช้ที่ดินในการปลูกพืชให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพ และราคาเหมาะสม ป้องกันราคาพืชผลทางการเกษตรตกต่ำ

นายกรัฐมนตรี ฝากให้ประชาชนรู้จักปรับเปลี่ยนตนเองให้ทันกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง และพัฒนาเรียนรู้ตลอดเวลาอย่างต่อเนื่องทั้งจากประสบการณ์ของผู้อื่น จากการอ่านหนังสือ การใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น ศึกษาเรียนรู้ข้อมูลต่าง ๆ ผ่านทางโทรศัพท์มือถือหรือสมาร์ทโฟน รวมถึงการเรียนรู้จากต่างประเทศ ซึ่งสิ่งเหล่านี้สามารถนำมาต่อยอดและพัฒนาตนเองให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ทั้งด้านรายได้ อาชีพ และต้องรู้จักที่จะสร้างหลักคิดให้ตนเองมีมีชีวิตที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งต้องร่วมกันเป็นผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลง พัฒนาตนเองอยู่เสมอให้ทันกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลง มีการรวมกลุ่มทำเกษตรปลอดภัยเพื่อนำไปสู่การปลูกพืชเกษตรอินทรีย์ และให้น้อมนำหลักทรงงานของรัชกาลที่ 9 มาเป็นแนวทางการดำเนินชีวิตและการปลูกพืชแบบผสมผสาน

นายกรัฐมนตรี กล่าวย้ำถึงการบริการจัดการงบประมาณของท้องถิ่นขอให้ดำเนินการให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนในพื้นที่ ไม่ให้เกิดการทุจริตขึ้น และต้องปรับปรุงการทำงานของท้องถิ่นให้มีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ในส่วนของรัฐบาลจะเร่งดำเนินโครงการที่มีความเร่งด่วนและสอดคล้องตรงกับความต้องการของประชาชนในพื้นที่ สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ของรัฐบาล รวมทั้งขณะนี้ รัฐบาลกำลังเร่งกวาดล้างหนี้นอกระบบให้หมดไป พร้อมฝากให้ประชาชนส่งเสริมสนับสนุนให้บุตรหลานศึกษาในระดับที่สูงขึ้น เพื่อจะได้มีความรู้ จบออกมาสามารถเลี้ยงตนเองและครอบครัวได้

นายกรัฐมนตรีฝากให้ทุกคนใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ ร่วมกันทำกิจกรรมจิตอาสาที่เป็นประโยขน์ต่อตนเองและส่วนรวม เช่น การร่วมกันทำความสะอาดในบ้านเรือนและชุมชนของตนเอง การเก็บกวาดขยะมูลฝอย ซึ่งการทำจิตอาสาถือเป็นการทำความดีและกุศลเพื่อผู้อื่นซึ่งจะเป็นการส่งเสริมให้ชีวิตของตนเองดีขึ้นตามหลักศาสนาพุทธ ขณะที่เรื่องของประชาธิปไตยก็ต้องไม่มีการแบ่งแยกฝ่าย ทุกคนต้องร่วมกันเป็นหัวใจเดียวกันเพราะเราคือคนไทย ทั้งนี้ ในตอนท้าย ประชาชนได้ปรบมือให้กำลังใจนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี ในการทำงานและบริหารราชการแผ่นดินต่อไป

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ได้เยี่ยมชมนิทรรศการผลการดำเนินงานและผลิตภัณฑ์แปรรูปจากพืชผักอินทรีย์ เช่น ผลิตภัณฑ์ดักแด้อบกรอบ สแน็คปลากรอบอินทรีย์ ข้าวเกรียบใบหม่อนและลูกหม่อน ปุ๋ยหมักอินทรีย์ เส้นไหมและผลิตภัณฑ์จากไหมอีรี่ ซึ่งเป็นการเลี้ยงตัวไหมอีรี่ด้วยใบมันสำปะหลังอินทรีย์และนำเส้นไหมที่ได้มาผลิตหรือทอเป็นผ้าไหมปลอดสารพิษและย้อมสีธรรมชาติ (สีธรรมชาติใบสมอ ครั่ง) โดยผลิตภัณฑ์ผ้าไหมดังกล่าวเป็นที่นิยมอย่างมากทั้งในหน่วยงานภาครัฐและต่างประเทศ เช่น ประเทศญี่ปุ่น รวมทั้งได้เยี่ยมชมแปลงผักอินทรีย์และการปลูกพืชผักอินทรีย์แบบผสมผสานตามหลักเกษตรทฤษฎีใหม่ เช่น การปลูกทุเรียนและลองกองแซมกล้วย บัวบกแซมมะละกอ ข้าวโพดหวานอินทรีย์ และกล้วน้ำว้าอินทรีย์พันธุ์มะลิอ่อง เป็นต้น

สำหรับการผลิตผักอินทรีย์ของศูนย์เรียนรู้ผักอินทรีย์เมืองธรรมเกษตร ไร่ภูตะวัน ออร์แกนิค ฟาร์ม ประกอบด้วย 3 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ 1. กระบวนการผลิต (การเตรียมดิน การเพาะเมล็ด การดูแลรักษา การเก็บเกี่ยวและกระบวนการหลังการเก็บเกี่ยว) 2. การบริหารจัดการ (การวางแผนการผลิต การวางแผนกิจกรรมกลุ่ม) และ 3. การตลาด โดยผักส่วนใหญ่จัดส่งให้บริษัท เอสแอนด์บี ฟูดส์ซัพพลาย ซึ่งเป็นผู้รวบรวมส่งให้ Tops Supermarket กระจายสินค้าในพื้นที่ปริมณฑลและต่างจังหวัด เป็นการทำ Contract farming ระหว่างผู้ผลิตกับลูกค้า โดยใช้การตลาดนำการผลิต

---------------------

กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก

ที่มา: http://www.thaigov.go.th


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ