สรุปประเด็นนายกรัฐมนตรีกล่าวในรายการศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 17 สิงหาคม 2561

ข่าวทั่วไป Friday August 17, 2018 13:32 —สำนักโฆษก

พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้กล่าวกับประชาชนผ่านรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน”ทางสถานีโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ในวันศุกร์ที่ 17 สิงหาคม 2561 เวลา 20.15 น. ในประเด็นต่าง ๆ ซึ่งสรุปสาระ

นายกรัฐมนตรีลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมราชการด้านการจราจร เมื่อวันพุธที่ผ่านมานั้น (15 ส.ค. 61) และได้รับฟังการบรรยายสรุปการบริหารจัดการและพัฒนาจุดเชื่อมต่อการเดินทาง (ล้อ ราง เรือ) ของกรุงเทพมหานคร โดยจะต้องอาศัยระยะเวลาในการทำงานด้วยการเร่งสร้างโครงการต่าง ๆ ซึ่งได้ส่งผลกระทบต่อการสัญจรทั้งทางไปและกลับของประชาชนที่อยู่ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ทั้งนี้ ปัญหาการจราจรติดขัดเป็นปัญหาที่สะสมต่อเนื่องมาจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และการขยายตัวของเมืองที่ไร้ยุทธศาสตร์ ไร้ข้อจำกัด ขณะเดียวกันการสัญจรของรถต้องอาศัยถนนเป็นหลักของกรุงเทพมหานคร ซึ่งมีถนนประมาณ 4,300 กิโลเมตร เป็นถนนสายหลัก เพียง 1 ใน 4 เท่านั้น หากเทียบพื้นที่ถนนเป็นร้อยละ กรุงเทพมหานคร มีเพียง 6.8 % ในขณะที่มหานครเมืองใหญ่ ๆ ของโลก เช่น นิวยอร์ก ลอนดอน ญี่ปุ่น สิงคโปร์ มีพื้นที่ถนน 21 - 36 % เป็นต้น ส่วนการเดินทางข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา จากการศึกษา พบว่าในปี 2564 ประชาชนมีความต้องการข้ามแม่น้ำเจ้าพระยามากขึ้นอีกประมาณ 480,000 คนต่อวัน และในอีก 10 ปีข้างหน้าจะเพิ่มขึ้นเป็น 840,000 คนต่อวัน

ดังนั้นจึงมีแนวทางแก้ปัญหาเหล่านั้น ด้วยการส่งเสริมให้ลดการใช้รถยนต์ส่วนบุคคล พร้อมหันมาใช้ระบบขนส่งสาธารณะ โดยเฉพาะการผลักดันให้ระบบรางเป็นแกนหลักในการเดินทางและขนส่ง สำหรับพื้นที่กรุงเทพ และปริมณฑล ภายในปี 2575 จะต้องเร่งลงทุนสร้างโครงข่ายรถไฟฟ้าให้ครบ ทั้ง 10 สาย ระยะทางรวม 464 กิโลเมตร ประกอบกับนโยบาย "One Transport" ที่ให้ความสำคัญกับการเชื่อมต่อการเดินทางล้อ ราง เรือ แบบไร้รอยต่อ เพื่อให้ประชาชนมีทางเลือกให้เข้าถึงบริการระบบขนส่งสาธารณะต่าง ๆ ทั้งรถองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) รถตู้ประจำทาง วินมอเตอร์ไซค์ รถไฟฟ้า เรือด่วนเจ้าพระยา เป็นต้น ทั้งนี้ รัฐบาลได้ขอความร่วมมือเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่ก่อสร้างถนน ให้คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้ใช้รถใช้ถนน โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีการลดช่องทางจราจรให้มีการตั้งป้ายให้สัญญาณล่วงหน้าเพื่อไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ โดยขอให้ทุกคนทำหน้าที่ในส่วนของตนในการเคารพกฎจราจรอย่างเคร่งครัด ตลอดจนผู้ใช้รถยนต์ รถจักรยานยนต์ การมีวินัย คิดถึงเพื่อนร่วมทางให้มากยิ่งขึ้น เพื่อความปลอดภัยของตนเองและผู้อื่น

ในโอกาสเดียวกันนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวเน้นย้ำเพิ่มเติมว่า กรุงเทพมหานครได้เปิดทดลองเดินเรือเส้นทางใหม่ ตั้งแต่วันที่ 28 กรกฎาคม 2561 เป็นต้นมา เพื่อจะเชื่อมโยงระบบคมนาคมทางน้ำกับโครงข่ายสาธารณะอื่น ๆ ตามนโยบาย ล้อ ราง เรือ ตั้งแต่ท่าเรือสะพานตากสิน-เพชรเกษม (บางหว้า) คลองภาษีเจริญ ถึงท่าเรือวัดกำแพงบางจาก คลองบางกอกใหญ่ ในระยะทดลองนี้ เป็นบริการให้แก่ประชาชนโดยไม่เก็บค่าโดยสารในทุกวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ ตั้งแต่เวลา 08.00 - 18.00 น. โดยเรือจะออกทุก 30 นาที มีท่าเรือที่ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้า BTS บางหว้า และจุดจอดรถโดยสารประจำทาง ซึ่งผ่านเส้นทางที่เป็นย่านท่องเที่ยวสำคัญ เช่น ตลาดคลองบางหลวง บ้านศิลปิน และชุมชนร้านค้าโบราณ เป็นต้น ในการทดลองใช้เส้นทางเดินเรือดังกล่าวของกรุงเทพมหานคร รัฐบาลได้เห็นศักยภาพในการพัฒนาตามโครงการที่ฟื้นวิถีชีวิตชุมชน ผ่านการท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ สมัยธนบุรี ชุมชนคลองบางหลวง ที่สามารถนำไปสู่การเป็นต้นแบบของเขตเศรษฐกิจสร้างสรรค์ทางวัฒนธรรมได้ในอนาคต และกระตุ้นเศรษฐกิจคลองบางหลวงย่านฝั่งธน ในรูปแบบการส่งเสริม Startup ที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการคงไว้ซึ่งอัตลักษณ์ทางประวัติศาสตร์และวิถีชีวิตชุมชน นอกเหนือจากเขตบางรักแล้ว ยังเริ่มมี Boutique Hotels ในย่านบ้านขุนน้ำขุนนาง คลองบางหลวง หรือการตั้งร้านอาหารและตลาดน้ำชุมชน เป็นต้น

นอกจากนี้ ผลประเมินดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในเดือนกรกฎาคมปีนี้ ของมหาวิทยาลัยหอการค้าประเทศไทยอยู่ที่ระดับ 82.2 ซึ่งถือว่าปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องและเป็นระดับสูงที่สุดในรอบ 62 เดือนนับตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2556 เป็นต้นมา ทำให้ทุกรายการปรับตัวดีขึ้นและการท่องเที่ยวเริ่มขยายตัวอย่างตัวเนื่อง จึงช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรวมให้ดีขึ้นต่อไป ส่วนราคาพืชผลทางการเกษตร และกำลังซื้อของประชาชนในหลายจังหวัดปรับตัวดีขึ้นตามลำดับ ทั้งนี้ การฝึกอาชีพให้กับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐซึ่งเป็นการดำเนินการในระยะที่ 2 ของกระทรวงแรงงานได้เพิ่มศักยภาพด้านการประกอบอาชีพ เพิ่มรายได้เสริมความมั่นคงให้กับชีวิตโดยมีเป้าหมายในการส่งเสริมการฝึกอาชีพ กว่า 6 แสนราย ได้แก่ อาชีพช่างอเนกประสงค์ 8 หมื่นกว่าราย และอาชีพอิสระอื่นอีก 5 แสนกว่าราย ใน 58 หลักสูตร รวมทั้ง การจัดหางาน ที่มีเป้าหมายราว 1 แสนราย ได้มีการติดตั้ง JOB BOX 500 ตู้ มีตำแหน่งงานรองรับแล้ว 7 หมื่นอัตรา ทั้งงานในสถานประกอบการในประเทศและต่างประเทศ นอกจากนั้นยังมีการให้บริการความรู้เรื่องกฎหมายคุ้มครองแรงงาน และส่งเสริมการเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 40 อีกด้วย

พร้อมกันนี้ ด้านแอปพลิเคชันถุงเงินประชารัฐ สำหรับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ในการดำเนินการระยะที่ 2 ของกระทรวงพาณิชย์ซึ่งเปิดตัวไปเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม ที่ผ่านมานี้ รัฐบาลได้ดำเนินมาตรการ ร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ ให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อยทั่วประเทศ มากกว่า 11ล้านคน สามารถซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค ที่จำเป็นต่อการครองชีพผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โดยได้มีการติดตั้งเครื่องรูดบัตรอิเล็กทรอนิกส์ (EDC) ให้กับร้านค้าไปแล้ว กว่า 38,000 ร้านค้า ทำให้ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ สามารถชำระเงินค่าสินค้าผ่านแอปพลิเคชั่นดังกล่าวของธนาคารกรุงไทยบนโทรศัพท์มือถือได้ ทั้งนี้ คุณสมบัติพื้นฐานของร้านค้าที่จะเข้าร่วมโครงการนี้ คือ ร้านค้าที่จำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค เครื่องใช้ในครัวเรือน สินค้าเพื่อการศึกษา สินค้าวัตถุดิบเพื่อเกษตรกรรม ผลผลิตทางการเกษตร ผลิตภัณฑ์ชุมชน สินค้า OTOP รวมไปถึงยารักษาโรคด้วย ส่วนขั้นตอนการเข้าร่วมโครงการฯ สำหรับร้านค้าฯ ที่ประสงค์เข้าร่วมโครงการนี้เพิ่มเติม สามารถดาวน์โหลด ใบสมัครได้จากเว็บไซต์กระทรวงพาณิชย์และส่งทางไปรษณีย์หรือมายื่นด้วยตนเอง ได้ที่สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ สำนักงานพาณิชย์จังหวัดในพื้นที่ จากนั้นรอการอนุมัติภายหลังจากการลงทะเบียน ในระบบเพื่อดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่น "ถุงเงินประชารัฐ" มาใช้ได้ เป็นอันจบขั้นตอนตามลำดับ

……………………………………………………

กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก

ที่มา: http://www.thaigov.go.th


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ