นายกรัฐมนตรี สั่งการผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ผู้ว่าราชการจังหวัด จัดการปัญหาสถานการณ์ฝุ่นมลพิษ PM 2.5 และเร่งสำรวจพื้นที่ที่ได้รับความเสียหาย เพื่อฟื้นฟูเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบอุทกภัย

ข่าวทั่วไป Monday September 30, 2019 16:05 —สำนักโฆษก

นายกรัฐมนตรี ประชุมสั่งการผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ผู้ว่าราชการจังหวัด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดการปัญหาสถานการณ์ฝุ่นมลพิษ PM 2.5 และเร่งสำรวจพื้นที่ที่ได้รับความเสียหาย เพื่อฟื้นฟูเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบอุทกภัยโดยเร็ว

วันนี้ (30 ก.ย.62) เวลา 15.00 น. ณ ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ประชุมสั่งการทางไกลผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์กับผู้ว่าราชการจังหวัดจังทั่วประเทศกรณีการจัดการปัญหาอุทกภัยและรับมือกับสถานการณ์ฝุ่นมลพิษ PM 2.5 ที่เกิดขึ้นขณะนี้ โดยมี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ GISTDA กระทรวงคมนาคม กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงสาธารณสุข กรุงเทพมหานคร สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) กรมอุตุนิยมวิทยา กรมควบคุมมลพิษ เข้าร่วมหารือด้วย

ภายหลังการประชุมฯ ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรี ได้รับทราบรายงานสรุปสถานการณ์ PM2.5 ทั้งในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ช่วงปลายปี - ต้นปี ( 19 พ.ย.61- 30 เม.ย.62) พบมีค่าเกินมาตรฐาน และปัจจุบัน พบค่า PM 2.5 เกินมาตรฐานตั้งแต่วันที่ 24 กันยายน 2562 สาเหตุมาจากความกดอากาศแผ่ลงมาจากภาคเหนือส่งผลให้อากาศนิ่ง ลมสงบ ทำให้ฝุ่นละอองสะสม รวมทั้งการใช้รถยนต์ที่มีการเผาไหม้ไม่สมบูรณ์

อย่างไรก็ตามค่าฝุ่นละออง PM 2.5 ที่สูงดังกล่าวยังไม่ได้สูงมากถึงขั้นเป็นอันตรายต่อสุขภาพ โดยช่วงบ่ายของวันนี้ค่าฝุ่นละออง PM 2.5 เริ่มลดลงหลายพื้นที่แล้ว เนื่องจากมวลอากาศเริ่มแผ่วเบาประกอบกับมีมรสุมจะทำให้มวลอากาศต่ำหรือมวลอากาศร้อนเข้ามาทำให้มีลมไปดันค่าฝุ่นละออง PM 2.5 ขึ้นไปชั้นบรรยากาศ ทั้งนี้ กรมอุตุนิยมวิทยาแจ้งว่าตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2562 จะมีปริมาณฝนเพิ่มขึ้น เป็นร้อยละ 20 ของพื้นที่ ลักษณะเช่นนี้ จะทำให้ปริมาณ PM 2.5 ที่สะสมในบรรยากาศลดลง ซึ่งสาเหตุหลักส่วนหนึ่งมาจากยานพาหนะที่เผาไหม้ไม่สมบูรณ์ ซึ่งเรื่องนี้ก็จะมีการแก้ไขปัญหาให้เป็นตามมาตรการที่กำหนดไว้ในแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติการแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละอองที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องนำไปปฏิบัติโดยจะมีการนำแผนปฏิบัติฯ เสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป

โดยการประชุมวันนี้เป็นไปตามแผนในมาตรการที่ 1 ในช่วงของการดำเนินการก่อนวิกฤติ โดยการประชุมชี้แจงเตรียมการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อรับมือกับสถานการณ์ฝุ่นมลพิษ PM 2.5 ควบคุมพื้นที่ ควบคุมแหล่งกำเนิดและกิจกรรมที่ทำให้เกิดมลพิษ ซึ่งโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวว่านายกรัฐมนตรี ได้เน้นให้เข้มงวดในการตรวจจับรถยนต์และรถโดยสารสาธารณะที่ปล่อยควันดำที่ส่งผลให้เกิดฝุ่นละออง PM 2.5 โดยหากตรวจพบว่าไม่อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานก็จะให้หยุดวิ่งจนกว่าจะดำเนินการปรับปรุงให้อยู่ในเกณฑ์ที่กำหนดไว้จึงให้มาวิ่งได้เช่นเดิม และให้ประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ให้แก่ประชาชนเพื่อจะได้ปฏิบัติตัวได้อย่างถูกต้อง โดยเฉพาะเด็ก หญิงตั้งครรภ์ และผู้สูงอายุ ควรมีการสวมหน้ากากอนามัยเมื่อต้องออกไปทำกิจกรรมข้างนอกหรือกลางแจ้ง หรืออยู่ที่พื้นที่ค่าฝุ่นละออง PM 2.5 เกินมาตรฐานและเป็นพื้นที่เสี่ยง รวมทั้งให้งดการออกกำลังกายกลางแจ้งในช่วงนี้ ขณะเดียวกัน ได้สั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประสานความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อร่วมกันป้องกันและแก้ปัญหาสถานการณ์หมอกควันในพื้นที่ภาคใต้ที่จะส่งผลกระทบให้เกิดฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) ด้วย โดยขณะนี้สถานการณ์ในพื้นที่ภาคใต้ดีขึ้นโดยลำดับ

สำหรับสถานการณ์น้ำและการแก้ปัญหาอุทกภัยและการฟื้นฟูเยียวยานั้น โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวชี้แจงว่า ขณะนี้สถานการณ์เริ่มเข้าสู่ภาวะปกติแล้วทั้ง 32 พื้นที่ โดยในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานีและจังหวัดศรีสะเกษภายในปลายสัปดาห์นี้คาดว่าน้ำที่ท่วมขังอยู่ทั้ง 2 จังหวัดจะลดลงเท่ากับระดับตลิ่ง ส่วนบางจุดที่ยังท่วมขังอยู่นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้เร่งระบายน้ำออกโดยเร็ว รวมทั้งให้เร่งสำรวจความเสียหายในพื้นที่เพื่อจะได้ประเมินความเสียหายที่เกิดขึ้น เพื่อเร่งให้ช่วยเหลือและฟื้นฟูเยียวยาประชาชนผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยเร็วที่สุด

-----------------

กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก

ที่มา: http://www.thaigov.go.th


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ