นายกรัฐมนตรีเป็นประธานพิธีเปิดอาคารพักผู้โดยสารหลังที่ 2 ท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา ระยอง พัทยา เตรียมยกระดับเป็นศูนย์กลางการบินอาเซียน ควบคู่พัฒนาการขนส่งทางราง

ข่าวทั่วไป Wednesday December 4, 2019 14:45 —สำนักโฆษก

นายกฯ เปิดอาคารพักผู้โดยสารหลังที่ 2 ท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา เตรียมยกระดับสนามบินอู่ตะเภาเป็นศูนย์กลางการบินอาเซียน ควบคู่พัฒนาการขนส่งทางรางเพื่อเชื่อมโยงการขนส่ง 3 สนามบินหลักของไทยผ่านรถไฟความเร็วสูง ให้รองรับผู้โดยสารได้สูงสุด 60 ล้านคน/ปี

วันนี้ (4 ธ.ค.62) เวลา 13.45 น. ณ ท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา ระยอง พัทยา อำเภอบ้านฉาง จังหวัดระยอง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีเปิดอาคารพักผู้โดยสารหลังที่ 2 ท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา ระยอง พัทยา ซึ่งพลเรือเอก ลือชัย รุดดิษฐ์ ผู้บัญชาการทหารเรือ ประธานกรรมการบริหารกองทุนการท่าอากาศยานอู่ตะเภา และ พลเรือโท กฤชพล เรียงเล็กจำนงค์ ผู้อำนวยการการท่าอากาศยานอู่ตะเภา ให้การต้อนรับ โดยมีรัฐมนตรี ข้าราชการทหารเรือชั้นผู้ใหญ่ ผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง ผู้แทนหน่วยงานรัฐและเอกชน เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนสื่อมวลชนเข้าร่วมงาน

เมื่อนายกรัฐมนตรีเข้าสู่บริเวณงาน นายกรัฐมนตรีชมนิทรรศการ และ Timeline Board เกี่ยวกับท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา ระยอง พัทยา ชมการแสดง The start of the new experience ชมวีดิทัศน์แนะนำการเปิดใช้อาคารพักผู้โดยสารหลังที่ 2 จากนั้น ผู้บัญชาการทหารเรือกล่าวรายงานว่า ท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา ระยอง พัทยา ได้เปิดให้บริการในเชิงพาณิชย์มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2532 รวมระยะเวลา 30 ปี ปัจจุบันมีจำนวนผู้โดยสารใช้บริการมากกว่า 2 ล้านคนต่อปี และมีจำนวนเที่ยวบินประมาณ 15,000 เที่ยวบินต่อปี จึงทำให้อาคารพักผู้โดยสารหลังเดิมที่มีขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารเพียง 7 แสนคนต่อปี เกิดความแออัด ไม่เพียงพอต่อการให้บริการทั้งแก่ผู้โดยสารและสายการบินพาณิชย์ การท่าอากาศยานอู่ตะเภา จึงได้ดำเนินการก่อสร้างอาคารพักผู้โดยสารหลังที่ 2 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อขยายขีดความสามารถในการรองรับจำนวนผู้โดยสารและสายการบินพาณิชย์ ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ ให้สอดคล้องกับการเจริญเติบโตของธุรกิจการบินของประเทศ ตลอดจนสามารถเชื่อมโยงการเดินทางสู่พื้นที่ภาคตะวันออก และสนับสนุนการยกระดับพื้นที่เศรษฐกิจภาคตะวันออกให้เป็นเขตเศรษฐกิจชั้นนำของภูมิภาคตามโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือโครงการ อีอีซี (Eastern Economic Corridor : EEC) ของรัฐบาลได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยอาคารพักผู้โดยสาร หลังที่ 2 แห่งนี้ มีพื้นที่ใช้สอย 30,000 ตารางเมตร สามารถรองรับจำนวนผู้โดยสารได้ 3 ล้านคน ถึง 5 ล้านคนต่อปี ซึ่งจะสามารถให้บริการได้เต็มศักยภาพ จนถึงปี พ.ศ. 2570 ที่ประมาณการจำนวนผู้โดยสารไว้ว่าจะมีมากกว่า 5 ล้านคนต่อปี ทั้งนี้ การท่าอากาศยานอู่ตะเภา ได้ทำการทดสอบใช้งานระบบการให้บริการด้านต่าง ๆ ให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล และได้ทดลองเปิดใช้งานอาคารพักผู้โดยสารหลังที่ 2 อย่างเต็มรูปแบบมาตั้งแต่เดือนมีนาคม 2562 ที่ผ่านมา ผลการดำเนินการปรากฏว่าอยู่ในเกณฑ์ดี นอกจากนั้นยังได้รับความร่วมมือ การสนับสนุนและการให้คำแนะนำต่าง ๆ จากหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องและภาคเอกชน ที่ช่วยสนับสนุนและให้คำแนะนำในการดำเนินการต่าง ๆ ส่งผลให้การเปิดใช้งานอาคารพักผู้โดยสารหลังที่ 2 เป็นไปด้วยความเรียบร้อยอย่างดียิ่ง

โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวแสดงความยินดีและเป็นเกียรติที่ได้มาเป็นประธานในงานพิธีเปิดอาคารพักผู้โดยสารหลังที่ 2 ท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา ระยอง พัทยา ในวันนี้ พร้อมกล่าวเปิดงานว่า ที่ผ่านมา รัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ โดยเล็งเห็นว่าการพัฒนาด้านการคมนาคมขนส่ง ทั้งทางบก ทางรางและทางอากาศ จะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนขีดความสามารถในการพัฒนาประเทศให้เติบโตขึ้นอย่างมั่นคงและยั่งยืน ท่าอากาศยานอู่ตะเภาได้รับการพัฒนาเป็นสนามบินพาณิชย์มายาวนานกว่า 30 ปี และได้มีการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งรัฐบาลได้เห็นถึงศักยภาพและโอกาสในการเติบโต จึงทำให้เกิดนโยบายพัฒนาท่าอากาศยานอู่ตะเภาให้เป็นท่าอากาศยานนานาชาติ เพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมการบินทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ มีการก่อสร้างอาคารที่พักผู้โดยสารหลังที่ 2 เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการให้บริการผู้โดยสาร และขณะเดียวกันยังได้เตรียมความพร้อมในด้านอื่น ๆ ให้ครอบคลุมและสามารถรองรับความต้องการของอุตสาหกรรมการบินของประเทศที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยระยะต่อไป รัฐบาลได้มีแผนในการยกระดับท่าอากาศยานแห่งนี้ ให้เป็นศูนย์กลางการบินของอาเซียน ภายใต้โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก (Eastern Airport City) ควบคู่ไปกับการพัฒนาการขนส่งทางราง เพื่อเชื่อมโยงการขนส่งทั้ง 3 สนามบินหลักของประเทศไทยผ่านทางรถไฟความเร็วสูง ซึ่งเป็นหนึ่งในแผนพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก โดยมีเป้าหมายให้สามารถรองรับผู้โดยสารได้สูงสุดถึง 60 ล้านคนต่อปี

นายกรัฐมนตรีได้กล่าวอาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ตลอดจนเดชะพระบารมีแห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี โปรดดลบันดาลประทานพรให้การดำเนินงานของสนามบินนานาชาติอู่ตะเภาประสบผลสำเร็จตามเจตจำนงที่มุ่งหมายไว้ทุกประการ พร้อมกับกล่าวขอบคุณกองทัพเรือ และทุกฝ่ายที่ได้ทำงานร่วมกันมาโดยตลอด

ต่อจากนั้น นายกรัฐมนตรีทำพิธีเปิดอาคารพักผู้โดยสารหลังที่ 2 ท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา ระยอง พัทยา โดยการวางสัญลักษณ์ลงบนแท่น พร้อมถ่ายภาพร่วมกับคณะผู้จัดงาน จากนั้น ผู้บัญชาการทหารเรือ มอบของที่ระลึกแด่นายกรัฐมนตรี แล้วนายกรัฐมนตรีเข้าเยี่ยมชมพื้นที่ภายในอาคารพักผู้โดยสารหลังที่ 2 ประกอบด้วย ห้องผู้โดยสารขาเข้าในประเทศ โถงผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศ ร้านค้าภายในท่าอากาศยาน และโถงผู้โดยสารขาออกภายในประเทศ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้เข้ายังบริเวณเขตการบิน (Air Side) และถ่ายภาพร่วมกับคณะพนักงานท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา ระยอง พัทยา ด้วย เสร็จภารกิจนายกรัฐมนตรีเดินทางกลับกรุงเทพมหานคร

ทั้งนี้ ท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา ระยอง พัทยา มีวิสัยทัศน์ที่จะพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวก เพื่อรองรับทุกความต้องการของผู้โดยสาร เชื่อมโยงและสนับสนุนการเดินทาง การขนส่งทางอากาศ เพื่อให้พร้อมเป็นสนามบินพาณิชย์แห่งที่ 3 ของประเทศไทย ซึ่งภายในอาคารผู้โดยสารแห่งนี้สามารถรองรับผู้โดยสารได้มากถึง 1,200 คนต่อชั่วโมง ที่เดินทางทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศ โดยมีความพร้อมในการให้บริการทุกด้าน ทั้งร้านค้าปลอดอากร ร้านอาหาร ร้านจำหน่ายสินค้า รวมถึงการปรับปรุงสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ อาทิ ลานจอดรถ หลังคาคลุมทางเดิน และอาคารคลังสินค้าหลังใหม่ อันจะเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายในประเทศ ด้วยการส่งเสริมเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และเชื่อมโยงการขนส่งผู้โดยสารกับสนามบินดอนเมือง และสนามบินสุวรรณภูมิและเป็น Aviation Hub หลัก ในภูมิภาคนี้

--------------------

กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก

ที่มา: http://www.thaigov.go.th


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ