นายกรัฐมนตรียืนยัน การจัดซื้อโครงการ Biometrics เป็นไปตามระเบียบราชการ อย่าโยงผู้ไม่เกี่ยวข้อง

ข่าวทั่วไป Wednesday February 26, 2020 15:41 —สำนักโฆษก

นายกรัฐมนตรีชี้แจงกรณีการจัดซื้อเครื่องและระบบ Biometrics (ลายพิมพ์นิ้วมือและภาพถ่ายใบหน้า) ของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) สำนักงานตำรวจแห่งชาติว่าอย่าโยงบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องเข้ามาพัวพันกับข้อหาดังกล่าว

วันนี้ (26 ก.พ.63) เวลา 11.00 น. ณ อาคารรัฐสภา พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ชี้แจงกรณีการจัดซื้อเครื่องและระบบ Biometrics (ลายพิมพ์นิ้วมือและภาพถ่ายใบหน้า) ของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) สำนักงานตำรวจแห่งชาติว่า เป็นการใช้งบประมาณจัดซื้อจากเงินค่าธรรมเนียมตรวจคนเข้าเมือง ปี 2559 – 2560 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการตรวจพิสูจน์บุคคลโดยเทคโนโลยีในการตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งมีความจำเป็น เพราะเป็นเรื่องของการคัดกรองคนเข้า-ออกประเทศ โดยใช้ข้อมูลพิมพ์ลายนิ้วมือที่มีความแม่นยำและมีประสิทธิภาพสูง ทั้งนี้ คณะกรรมการตรวจรับพัสดุได้มีการตรวจรับเรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2562 และปัจจุบันมีการติดตั้งทั้งหมด 1,843 ชุด ตามจุดต่างๆได้แก่ ด่านท่าอากาศยาน ด่านตรวจคนเข้าเมือง และสำหรับงานสืบสวนของหน่วยตำรวจ

นายกรัฐมนตรียืนยันว่า ปัจจุบันทั่วโลกได้นำระบบนี้ไปใช้กันอย่างกว้างขวางเช่นกันอย่างน้อยจำนวน 123 ประเทศ สำหรับเรื่องราคาที่จัดหานั้น ผู้รับผิดชอบได้พิจารณาคุณภาพและประสิทธิภาพในการนำมาใช้งานเป็นปัจจัยสำคัญ ซึ่งการซื้อผ่านระบบออนไลน์ที่มีการกล่าวอ้างว่าราคาถูกกว่านั้น ไม่สามารถนำมาใช้ในการพิจารณาจัดซื้อสำหรับโครงการดังกล่าวได้ เพราะการซื้อเป็นการซื้อทั้งระบบและอุปกรณ์ ที่ต้องนำมาใช้ร่วมกัน อย่างไรก็ดี รัฐบาลจะต้องคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดสำหรับราชการและประชาชนในที่สุด โดยการจัดซื้อจัดจ้างโดยวิธีพิเศษ เป็นไปตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ข้อ ๒๓ การซื้อโดยวิธีพิเศษ และเป็นไปตามระเบียบและขั้นตอนราชการ สำหรับ กรณีสำนักงานอัยการสูงสุดได้มีคำวินิจฉัยเรื่อง การปรับสัญญาจ้างกำหนดส่งมอบพัสดุ โดยระบุว่าการที่สัญญากำหนดการส่งมอบและเบิกจ่ายเงินเป็นงวด ๆ เป็นเพียงกำหนดระยะเวลาเพื่อการจ่ายเงินค่าจ้างเท่านั้น เนื้อหาของสัญญาประสงค์ต่อความสำเร็จของงานทั้งหมด โดยไม่ประสงค์ให้แยกงานเป็นสัดส่วนแล้ว ต้องถือว่าคู่สัญญาตกลงเลื่อนกำหนดส่งมอบงานในวันเดียวกัน

ปัจจุบันจากการใช้งานการตรวจพิสูจน์บุคคลโดยเทคโนโลยี Biometrics สามารถตรวจสอบการเข้าเมือง ณ วันที่ ๗ มกราคม ๒๕๖๓ มีคนเดินทางเข้าออก ๔๘,๘๖๒,๐๕๑ คน มีผู้ที่อยู่เกินกำหนด จำนวน ๑๒๖,๙๘๙ คน blacklist/watchlist จำนวน ๔,๓๕๓ คน มีค่าปรับเป็นรายได้แผ่นดิน ๒๔๒,๘๐๘,๘๐๐ บาท ซึ่งเห็นได้ว่าโครงการระบบดังกล่าวเป็นประโยชน์และจำเป็นต่อระบบตรวจคนเข้าเมือง และการดำเนินโครงการดังกล่าวไม่มีการเอื้อประโยชน์แก่ใครทั้งสิ้น และอย่าโยงบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องเข้ามาเกี่ยวพันกับข้อกล่าวหาดังกล่าว

ที่มา: http://www.thaigov.go.th


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ