นายกรัฐมนตรีชี้แจงการซื้ออาวุธ และการเพิ่มขีดความสามารถกองทัพ

ข่าวทั่วไป Friday February 28, 2020 15:00 —สำนักโฆษก

นายกรัฐมนตรีชี้แจงการซื้ออาวุธ และการเพิ่มขีดความสามารถกองทัพ

วันนี้ เวลา 16.20 น. ณ อาคารรัฐสภา พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมชี้แจงการซื้ออาวุธและการเพิ่มขีดความสามารถกองทัพ

นายกรัฐมนตรีในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมชี้แจงงานความมั่นคงว่า กองทัพมีแผนการพัฒนากองทัพโดยมีแผนแม่บทการปฏิรูปการบริหารจัดการและการปรับปรุงโครงสร้างกระทรวงกลาโหม 2560-2569 เพื่อให้กองทัพมีขนาดเล็กลง ทันสมัยและมีขีดความสามารถสูง ทั้งกำลังพลและยุทโธปกรณ์ จำนวนยุทโธปกรณ์ที่ดูเหมือนมากแต่ต้องมีการซ่อมแซมจึงต้องจัดซื้อเพื่อทดแทน ส่วนที่ต้องซ่อมก็ซ่อมบำรุงไปจนกว่าไม่สามารถใช้ได้จริง ๆ จึงเป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องเสริมสร้างศักยภาพให้ทัดเทียมกับนานาประเทศทั้งทางบกทางทะเล

นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงแผนการ 3 ระยะคือ ระยะเร่งด่วน 2560 - 2561 มาตรการกำหนดตำแหน่งแรกบรรจุ ระบบสรรหาแต่งตั้งกำลังพล คัดเลือก ยึดหลักความรู้ความสามารถและความเป็นธรรม พัฒนาระบบบริหารผลการปฏิบัติงานของกระทรวงกลาโหม บูรณาการระบบฐานข้อมูลของกำลังพลกลาโหมให้สามารถเชื่อมโยงได้อย่างมีประสิทธิภาพทั้งด้านกฎหมาย นำข้าราชการพลเรือนกลาโหมเข้าบรรจุเพื่อทดลองปฏิบัติงานในหน่วยนำร่อง เพื่อลดภาระและสวัสดิการค่าใช้จ่ายในอนาคต ปัจจุบันอยู่ในระยะกลาง 2562 – 2564 ทำระบบมาตรฐานการกำหนดตำแหน่งตามสายงาน ประเมินผลระบบข้าราชการกระทรวงกลาโหม การทดลองรับสมัครกำลังพลสำรองทำหน้าที่เป็นทหารเป็นการชั่วคราวในหน่วยนำร่อง และศึกษาผลการดำเนินการจ้างพนักงานราชการทดแทนข้าราชการ ขยายผลให้ครอบคลุมหน่วยที่เหมาะสมเพิ่มเติม ศึกษาระบบปลดถ่ายกำลังพลของกระทรวงกลาโหมในรูปแบบอื่น ๆ ทั้งการจ้างงานที่หลากหลาย การสร้างแนวทางอาชีพให้กำลังพลแต่ละประเภท เป็นต้น ระยะยาว พ.ศ. 2565 - 2569 ดำเนินการปรับลดกำลังพลในกลุ่มประจำหน่วยผู้ทรงคุณวุฒิและผู้ทรงคุณวุฒิให้เป็นไปตามแผนการปรับลดอัตรากำลังพลของกระทรวงกลาโหม ปรับขนาดกำลังพลให้ได้ตามขนาดอัตรากำลังพลที่กำหนด ดำเนินการพัฒนาบุคลากรสร้างความต่อเนื่องปรับปรุงแก้ไขระเบียบข้อบังคับต่าง ๆ ให้ทันสมัยตามความต้องการของประชาชน และแผนการพัฒนาบุคลากรของกระทรวงกลาโหม พัฒนาคุณภาพชีวิตกำลังพลอย่างเป็นรูปธรรม

นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงการจัดหายุทโธปกรณ์ให้สอดคล้องกับปัจจุบันนั้น โดยกองทัพมีแผนจัดซื้อ ในงบประมาณที่กระทรวงกลาโหมได้ในแต่ละปี มีแผนตั้งแต่ปี 2560 ถึง 2569 โดยมุ่งเน้นการซ่อมแซมยุทโธปกรณ์ที่มีอยู่ให้มีสภาพพร้อมใช้งาน รวมทั้งให้ความสำคัญกับเรื่องอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ซึ่งเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่อีอีซี ลดการจัดหาจากต่างประเทศด้วยความร่วมมือจากต่างประเทศ

นอกจากนี้ต้องมีการปรับอัตราการจัดหน่วยใหม่ เป็นกำลังอเนกประสงค์ในรูปแบบกรมผสม ปรับให้มีขนาดเล็กลง เพื่อพร้อมเผชิญสงครามที่เป็นสงครามจำกัด นอกจากนี้ยังมีกำลังพลในส่วนที่ 2 และส่วนที่ 3 ที่เตรียมพร้อมในสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ปรับลดจำนวนรถถังลง จากอัตรากองพันละ 51 คันเหลือ 44 คัน ยานเกราะล้อยาง จากอัตรากองพันละ 96 คัน เหลือ 81 คัน ปรับลดจำนวนอากาศยานขับไล่จาก 16 ลำเหลือ 14 ลำ แต่ยังคงความสามารถเท่าเดิม โดยทดแทนด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย ด้วยการตรวจจับเรดาร์และอื่น ๆ เป็นต้น รวมทั้งมีการศึกษาและซ่อมแซมเอง ตลอดจนการรับบริการหลังการขายตามสัญญากำหนด เช่น เรื่องการประกันชิ้นส่วนต่าง ๆ เป็นต้น ปรับปรุงพัฒนาขีดความสามารถของอากาศยานหลักที่มีประจำการ เช่น เครื่องบิน F16 mlu F5 mod ของเก่าพัฒนาให้ทันสมัย พัฒนาอากาศยานไร้คนขับโดรนร่วมกับอุตสาหกรรมในประเทศที่มีศักยภาพ พัฒนาระบบสัญญาณไร้คนขับติดอาวุธ เช่น เครื่องบิน U1 ในภารกิจลาดตระเวนเฝ้าตรวจทดแทนการจัดหาอากาศยานที่มีราคาแพง

นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงการจัดซื้อเรือดำน้ำของกองทัพเรือว่า ไทยมีมูลค่าทางทะเลมหาศาล วัดมูลค่าเศรษฐกิจได้ 24 ล้านล้านบาทต่อปี มีเรือสินค้าเข้าออกทางทะเลร้อยละ 95 มีเรือสินค้าเข้าออกอ่าวไทยปีละกว่า 15,000 ลำ จะเพิ่มมากขึ้นไปเรื่อย ๆ รอบประเทศเพื่อนบ้านก็มีเรือดำน้ำเช่นเดียวกัน ทั้งเวียดนาม อินโดนีเซีย สิงคโปร์ มาเลเซีย นอกจากนี้ประเทศไทยก็มีแหล่งขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติอีกหลายร้อยแท่น พื้นที่ทับซ้อนอีกหลายแห่ง ตรงนี้ต้องระมัดระวังผลกระทบที่จะเกิดขึ้น นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวว่า ต้องใช้เวลาเตรียมการถึง 6 ปีกว่า เพื่อจะได้เรือดำน้ำลำแรก ซึ่งต้องส่งกำลังพลไปเรียนรู้ระบบ 2-3 ปี ตั้งแต่ต่อตัวถัง วางกระดูกงู วันนี้ ในแผนการฝึกคอบร้าโกลด์ ยังได้มีการฝึกร่วมเรือดำน้ำด้วย เพื่อจะแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีเทคนิคระหว่างกัน

นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงการปรับลดกำลังพลว่า มีการบรรจุเพียงร้อยละ 64 ของอัตราจริง ช่วยลดงบประมาณด้านบุคลากรและมีโครงการเกษียณก่อนกำหนด บรรจุกำลังสำรองทำหน้าที่ชั่วคราว บรรจุข้าราชการพลเรือนกลาโหม เพื่อจะลดงบสวัสดิการ รวมทั้งจะปรับลดนายพลให้เหลือร้อยละ 50 ตั้งแต่ปี 2551-2571 ซึ่งทหารมีถึง 7 กลุ่มงานในหน้าที่ไม่ใช่เฉพาะกำลังรบอย่างเดียว ทั้งการศึกษา การแพทย์ ยามปกติและยามสงคราม ทั้งนี้ กระทรวงกลาโหมมีความต้องการกำลังพลด้านการเกณฑ์ทหาร 5 แสนคน มีสมัครใจร้อยละ 40 ของ 5 แสนคน ดังนั้นเกณฑ์คือร้อยละ 60 เฉพาะจำนวนที่ต้องการไม่มากนัก หลายคนได้สิทธิ์ลดจากการเรียนนักศึกษาวิชาทหาร การเรียนระดับปริญญา การเรียนระดับต่ำกว่าปริญญา ทำให้รับราชการเป็นทหารเกณฑ์ตั้งแต่ 6 เดือน 1 ปี 1 ปีครึ่ง 2 ปี นายกรัฐมนตรียังย้ำถึงปัญหาการทำร้ายทหารหรือการทำความผิดว่า ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นต้องป้องกันหาวิธีการต่อไป และมีการลงโทษทหารตามวินัยทหาร โครงการเกษียณอายุก่อนกำหนด การนำกำลังสำรองบรรจุข้าราชการพลเรือนแทนทหาร ทหารประจำการ ได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง

นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงเรื่องงบประมาณของกระทรวงกลาโหมว่า เป็นเช่นเดียวกับงบประมาณของหลาย ๆ กระทรวง ขึ้นอยู่กับงบประมาณของประเทศ อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งกระทรวงกลาโหมทำงานอื่นนอกจากเรื่องการรักษาอธิปไตย เช่น การพัฒนา การบรรเทาภัยพิบัติ และใช้ค่ายทหารในการดูแลอุทกภัย แม้กระทั่งโควิด-19 ที่ไปอยู่กับทหารเรือ เป็นต้น สำหรับเงินนอกงบประมาณนั้น ก็มีกฎหมายควบคุมและ พรบ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ 2561 วิธีการงบประมาณ 2561 ซึ่งเงินนอกงบประมาณคือเงินที่หน่วยงานรัฐจัดเก็บได้ มีกฎหมายอนุญาตให้สามารถเก็บไว้ใช้จ่ายได้โดยไม่ต้องนำเงินส่งคลังถ้าจำเป็น ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเงินเหล่านี้เป็นเงินที่ได้มาจากสถานประกอบการ โรงพยาบาล สถานศึกษา บูรณะทรัพย์สิน เงินผลพลอยได้ กองทุนหมุนเวียน ในส่วนของ ทบ. ทร. ทอ. ก็มีสถานพยาบาล ทั้งหมดดังกล่าวนี้เป็นเงินฝากคลัง นำมาใช้จ่ายในส่วนค่าใช้จ่ายหมุนเวียนของแต่ละโรงพยาบาลด้วย ยืนยันว่ากระทรวงกลาโหมได้ดำเนินการต่อเงินนอกงบประมาณตามระเบียบและกฎเกณฑ์ และสามารถนำเงินเหล่านั้นมาใช้จ่ายได้แต่ให้เป็นไปตามระเบียบกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณ

นายกรัฐมนตรียังชี้แจงว่าได้มีการสั่งลงโทษ สอบสวนถึงการทำร้ายทหาร การทุจริตเบี้ยเลี้ยง มาโดยตลอด เน้นการพัฒนาคุณภาพชีวิตข้าราชการชั้นผู้น้อย ตนคำนึงถึงข้าราชการทหารชั้นผู้น้อย รวมทั้งได้มีการตรวจสอบกรณีทหารบริการมีสัดส่วนอยู่จำนวนที่น้อยมาก หากพบข้อบกพร่อง ผู้บังคับบัญชาก็ต้องโดนลงโทษ ขัง ดำเนินคดีด้วย ทั้งนี้ เรื่องไม่ดีขอน้อมรับผิดเพียงผู้เดียว จะดำเนินการแก้ไขให้ถูกต้องในทุกประเด็น ต้องขจัดคนไม่ดีออก ผู้บังคับบัญชาทุกคนต้องเอาใจใส่ลงโทษตามชั้นยศลงไป ยิ่งยศใหญ่ยิ่งต้องมีความรับผิดชอบมากขึ้น เป็นสิ่งที่ตนได้รับการสอนมาตลอดชีวิตคือการดูแลประชาชน คำขวัญของทหารคือ เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาชน ทหารต้องเป็นที่พึ่งของประชาชนได้ในทุกโอกาส ซึ่งเป็นภาษิตประจำใจของทหารทุกคน

-------------

กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก

ที่มา: http://www.thaigov.go.th


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ