รัฐบาลน้อมนำกระแสพระราชดำรัสและพระราโชบายใส่เกล้า ใส่กระหม่อม พร้อมนำไปเป็นแนวทางในการปฏิบัติงานแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19

ข่าวทั่วไป Tuesday April 7, 2020 15:18 —สำนักโฆษก

รัฐบาลน้อมนำกระแสพระราชดำรัสและพระราโชบายใส่เกล้า ใส่กระหม่อม พร้อมนำไปเป็นแนวทางในการปฏิบัติงานแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19

วันนี้ (7 เม.ย. 2563) เวลา 11.30 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน ในฐานะโฆษก ศบค. แถลงสถานการณ์ประจำวัน โดยอัญเชิญกระแสพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ได้ทรงพระราชทาน ในโอกาสนายกรัฐมนตรีนำรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข คณะผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข ผู้บัญชาการเหล่าทัพและผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เข้าเฝ้ากราบบังคมทูลถวายรายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 พร้อมรับพระราชทานพระราโชบายและอุปกรณ์การแพทย์และเวชภัณฑ์เมื่อวันจันทร์ที่ 6 เมษายน 2563 ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน

1. กระแสพระราชดำรัส

ความว่า "มีอะไรที่จะมีส่วนช่วยเหลือ ที่จะแก้ปัญหาก็ยินดี เพราะว่าก็เป็นปัญหาของชาติ ซึ่งเรื่องโรคระบาดนี่ก็ไม่ใช่ความผิดของใคร แล้วสิ่งที่เกิดขึ้น ก็คือเรามีหน้าที่ที่จะดูแลแก้ไขให้ดีที่สุด อย่างที่เคยพูดไว้ว่า ถ้าเกิดมีความเข้าใจในปัญหา มีความเข้าใจ ไม่ใช่หมายความว่ายอมรับตามบุญตามกรรม แต่มีความเข้าใจในสถานการณ์ มีความเข้าใจในปัญหา และก็มีความรู้เกี่ยวกับโรค ก็คือความเข้าใจในปัญหานั่นเอง อันแรกก็เป็นอย่างนี้ อันที่ 2 ก็คือจากข้อที่ 1 ก็คือการมีการบริหารจัดการ มีแผนเผชิญเหตุ มีระบบในการปฏิบัติ แก้ไขให้ถูกจุด รู้ปัญหา แก้ไขให้ถูกจุดโดยมีการบริหารจัดการ แล้วก็ในเวลาเดียวกันก็ต้องให้ประชาชนได้เข้าใจถึงวิธีปฏิบัติที่ถูกต้องและเหตุผลที่จะต้องปฏิบัติ เพราะว่าการมีระบบ หรือแผน และการปฏิบัติตามแผนที่ได้วางไว้ตามความเป็นจริง ตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริง แก้ถูกจุด ก็จะลดปัญหาลงไป และแก้ได้ในที่สุด ฉะโนั้น ก็เชื่อแน่ว่าจะต้องแก้ไขและก็เอาชนะอันนี้ได้ เพราะว่าประเทศของเรานี่ก็นับว่าทำได้ดี ประเทศของเรานี่น่าภูมิใจว่าทำได้ดีและก็ทุกคนก็ร่วมใจกัน ก็ดีกว่าที่อื่นอีกหลายที่ แต่บางทีก็ต้องเน้นเรื่องการทำงานมีระบบด้วยความเข้าใจ และการมีระเบียบวินัยในการแก้ไขปัญหา โดยมีเป้าหมายว่าเราจะต้องต่อสู้ให้โรคนี้สงบลงไปได้ในที่สุด เพราะว่าโรคมาได้ โรคก็ไปได้ แต่โรคจะไม่ไปถ้าเราไม่แก้ไขปัญหา เราไม่แก้ไขให้ถูกจุด หรือเราไม่มีความขันติอดทนที่จะแก้ไข บางทีก็ต้องเสียสละในความสุขส่วนตัวบ้าง หรือเสียสละในการกล้าพอที่จะสร้างนิสัยหรือสร้างวินัยในตัวเอง ที่จะแก้ไขเพื่อตัวเอง เพื่อส่วนรวม อันนี้เราก็ขอเป็นกำลังใจให้” โฆษก ศบค. อัญเชิญกระแสพระราชดำรัสนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณของปวงชนชาวไทยที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีกระแสพระราชดำรัส ซึ่งเราต้องทำหน้าที่ของตนเองตามที่ทรงมีกระแสพระราชดำรัสมาในวันนี้และวันต่อๆ ไป เพื่อให้โรคที่กำลังเผชิญกันอยู่นี้ ลดน้อยถอยลง

2. สถานการณ์เชื้อไวรัสโควิด-19 ของไทยและโลก

สถานการณ์โควิด -19 ในประเทศไทยพบว่า มีตัวเลขผู้ป่วยใหม่ 38 ราย ผู้ติดเชื้อสะสม จำนวน 2,258 คน ใน 66 จังหวัด หายป่วย 824 ราย สำหรับตัวเลขผู้ป่วยใหม่ 38 รายนั้นลดลงเกิดจากผลการทำงานของทุกคนที่ได้ร่วมกันปฏิบัติตามมาตรการของรัฐบาล ตั้งแต่การประกาศ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม 2563 และการประกาศเคอร์ฟิวตั้งแต่วันที่ 3 เมษายน 2563 ทำให้การแพร่กระจายเชื้อที่เกิดขึ้นมีแนวโน้มลดน้อยลงชัดเจนและการที่หลายคนหยุดอยู่บ้าน

สำหรับผู้เสียชีวิต 27 รายเพิ่มเติมขึ้นมา 1 ราย เป็นผู้ป่วยชายอายุ 54 ปี ไม่มีโรคประจำตัวก่อนหน้านี้ไปงานเลี้ยงสังสรรค์หลายที่ รวมทั้งสถานบันเทิงย่านทองหล่อ เริ่มป่วยตั้งแต่วันที่ 13 มีนาคม 2563 ด้วยอาการเหนื่อยไปรักษาที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง ต่อมาวันที่ 14 มีนาคม 2563 ผู้ป่วยก็มีอาการเหนื่อยมากขึ้น ต้องใส่ท่อช่วยหายใจแล้ว ส่งตัวอย่างการตรวจเชื้อก็พบว่าติดเชื้อ โควิด -19 ผลเอกซ์เรย์พบว่า ปอดอักเสบอย่างรุนแรงและเสียชีวิตวานนี้ (6 เมษายน 2563) ด้วยอาการทางเดินระบบทางเดินหายใจล้มเหลว โฆษก ศบค. กล่าวแสดงความเสียใจกับครอบครัวด้วย ทั้งนี้ จากเดิมที่เคยบอกว่าคนอายุมากเป็นความเสี่ยง แต่จากตัวเลขอายุผู้เสียชีวิต ต้องถือว่าทุกคนมีความเสี่ยงทั้งหมด จึงขอให้ประชาชนทุกคนดูแลตนเองอย่างดี

รายละเอียดของผู้ป่วยรายใหม่ทั้ง 38 ราย พบว่ากลุ่มใหญ่ยังเป็นกลุ่มที่สัมผัสกับผู้ป่วยยืนยันรายก่อนหน้านี้ จำนวน 17 ราย ในนี้ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกรุงเทพฯ 11 รายและติดจากบ้าน ที่ทำงานและกลุ่มเพื่อน กลุ่มที่ 2 เป็นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับคนไทยเดินทางกลับจากต่างประเทศ จำนวน 3 ราย ไปในสถานที่ชุมชนคือห้างสรรพสินค้าตลาดนัด สถานที่ท่องเที่ยว จำนวน 3 ราย ซึ่งกลุ่มใหญ่ส่วนอยู่ในอาชีพเสี่ยง ทำงานในสถานที่แออัด สถานที่ทำงานที่มีการสัมผัสชาวต่างชาติที่ จำนวน 7 ราย และบุคลากรทางด้านสาธารณสุข จำนวน 3 ราย กรณีโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดภูเก็ต ขณะนี้ต้องมีการสอบสวนโรค ซึ่งในระบบต่างๆ รับทราบกันอยู่แล้วซึ่งมีการติดตามกันอย่างต่อเนื่องสำหรับจังหวัดที่รับการรักษาผู้ป่วยยืนยันสะสม กรุงเทพมหานคร สูงสุด 1,201 ราย ตามด้วยภูเก็ต 38 ราย นนทบุรี 134 ราย สมุทรปราการ 99 ราย ชลบุรี 75 ราย ยะลา ปัตตานี เชียงใหม่ สงขลา และปทุมธานี ตามลำดับ สำหรับผู้ป่วยรายใหม่ 38 ราย ที่เกิดขึ้นแบ่งเป็น กรุงเทพฯ 25 ชลบุรี 4 ภูเก็ต 3 จังหวัดอื่นๆ เหลืออย่างละ 1 ซึ่งมีทั้ง กระบี่ ชุมพร นครราชสีมา นนทบุรี พิษณุโลก และสุพรรณบุรี ถือว่าทุกจังหวัดทำผลงานได้ดี อย่างไรก็ตามแม้ตัวเลขกรุงเทพฯ ลดลงแต่ก็ยังมีตัวเลข 2 หลัก สูงกว่าตัวเลขรวมของต่างจังหวัด จึงขอความร่วมมือให้ทุกคนช่วยกันพยายามกดตัวเลขนี้ลงไปเรื่อย ๆ โดยไม่จำเป็นต้องใช้มาตรการอื่นๆ เพิ่มขึ้น เพื่อทุกคนใช้ชีวิตตามปกติ

โฆษก ศบค. ชื่นชมอีก 11 จังหวัด ที่ขณะนี้ยังไม่พบผู้ป่วยและที่สำคัญยิ่งคือต้องขอบคุณทุกจังหวัดและทุกคนที่ช่วยกันทำงานอย่างหนัก ในการทำให้ตัวเลขต่าง ๆ ลดลงจากตัวเลข 3 หลักมาอยู่ที่ 2 หลัก ทั้งนี้ ยังต้องขอกำลังใจจากพี่น้องประชาชนส่งไปถึงทุกคนที่ทำงานหนักและจะทำงานหนักต่อเนื่องเพื่อให้ตัวเลขลดลงเรื่อยๆ

สำหรับสถานการณ์โควิด -19 ทั่วโลก ขณะนี้ตัวเลขผู้ป่วยสะสมอยู่ที่ 1,300,000 กว่าคน หนัก 47,000 หายป่วยประมาณ 270,000 และเสียชีวิตไป 74,000 กว่าคน ตัวเลขรายวันพบว่าสหรัฐอเมริกายังมีตัวเลขผู้ป่วยสูงสุด โดยผู้ป่วยสะสมอยู่ที่ 364,000 กว่าราย มีรายใหม่ขึ้นมาภายในวันเดียวที่ 28,000 กว่าราย เสียชีวิต 10,846 คน สเปน ผู้ป่วยสะสมประมาณ 130,000 กว่าคน รายผู้ป่วยรายใหม่ 5,000 เศษ เสียชีวิต 13,000 คน ซึ่งข้อมูลตรงนี้รายงานเพื่อให้ประชาชนคนไทยได้รับทราบว่าความเสี่ยงของประเทศต่างๆ

การจำแนกรายภาคผู้ป่วยยืนยันที่เข้ามารับการรักษา กรุงเทพฯ และนนทบุรี ยังมีตัวเลขสูงที่สุดรอลงมาคือภาคใต้ ภาคลาง ตะวันออกเฉียงเหนือ ตามลำดับ ส่วนผู้ป่วยยืนยันตามปัจจัยเสี่ยงในสัปดาห์ที่ 15 ต้นเดือนเมษายน 2563 ยังคงเป็นกลุ่มสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยที่ยืนยันรายก่อนหน้านี้แต่ก็มีจำนวนตัวเลขที่ลงลดอย่างชัดเจนเหลือ 83 ราย แม้อยู่บ้านเดียวกันก็ต้องรักษาระยะห่างอย่างน้อย 2 เมตร สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา เชื่อว่าในช่วงเวลาที่มีการประกาศเคอร์ฟิวจะทำให้ประชาชนอยู่บ้านกันมากขึ้น ขณะที่ตัวเลขผู้ป่วยจากสนามมวยเห็นชัดเจนว่าลดลงเช่นกัน โดยในวันที่ 4 เมษายน 2563 เหลืออยู่ 18 ราย ส่วนคนไทยจากต่างประเทศในสัปดาห์นี้มี 17 ราย แต่ยังถือว่ามีความเสี่ยง ทั้งนี้ผู้ป่วยยืนยันจำแนกตามปัจจัยเสี่ยงภาพรวม อันดับ 1 คือ สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยยืนยันก่อนหน้านี้ 2) สนามมวย 3) คนไทยมาจากต่างประเทศ อย่างไรก็ตามภาพรวมใน 2 สัปดาห์ล่าสุดอันดับเปลี่ยนมาเป็นคนไทยที่เดินทางมาจากต่างประเทศมาอยู่อันดับที่ 2 ( 133 ราย) ย้ำให้เห็นว่าทำไมจึงต้องมีการประกาศจำกัดเที่ยวบินที่เข้ามายังประเทศไทย และขอให้ประชาชนได้เข้าใจถึงความจำเป็นในการดำเนินตามมาตรการดังกล่าวของรัฐบาลซึ่งใช้ตัวเลขในการนำมาพิจารณาวิเคราะห์ดำเนินการตามสถานการณ์ ซึ่งคนไทยที่เดินทางกลับจากต่างประเทศเข้ามาประเทศไทย รายงานมีการติดเชื้อจากต่างประเทศจากทางยุโรปและกลุ่มประเทศอาเซียน ซึ่งต้องเฝ้าระวัง รวมถึงการเดินทางข้ามผ่านแดนต่างๆ โดยเฉพาะประเทศมาเลเซีย สำหรับข้อมูลสถานการณ์ทั่วโลกที่เป็นผู้ป่วยรายใหม่ตัวเลขคงที่ สหรัฐอเมริกา ตัวเลขกราฟเริ่มตกลง ทางยุโรปยังเกาะกลุ่มกันและมีแนวโน้มค่อย ๆ ลดลงมาเล็กน้อย ส่วนทางกลุ่มเอเชีย ขณะนี้ผู้ป่วยรายใหม่ส่วนใหญ่คงที่ แต่ว่าที่น่ากังวลใจคือ อินเดียซึ่งยังมีตัวเลขสูง โฆษก ศบค. กล่าวการรายงานให้ทุกคนถึงรู้สถานการณ์โลก เพื่อที่จะได้ป้องกันของเราได้

3. รายการผลการปฏิบัติงานภายหลังการประกาศเคอร์ฟิว

ประชาชนโดยส่วนใหญ่ให้ความร่วมมือดี แต่ก็มีสถิติผู้ฝ่าฝืนหรือไม่มีเหตุผลในการเดินทางช่วงประกาศห้ามในวันที่ 7 เมษายน มีผู้ที่ออกนอกเคหะสถานจำนวน 1,217 ราย จากเดิมวันที่ 6 เมษายน 2563 มีจำนวน 919 ราย จาก 4 วันที่ผ่านมามีแนวโน้มที่เพิ่มสูงขึ้นและมีผู้ที่รวมกลุ่ม ชุมนุมหรือมั่วสุมกันในวันแรกมีจำนวน 8 รายเพิ่มขึ้น เป็น 39 รายและเพิ่มจำนวน 76 ราย จึงต้องขอความร่วมมือจากประชาชนให้ปฏิบัติตามระเบียบที่ออกมาให้มากขึ้น หากสถิติไม่ลดลง อาจจะต้องมีมาตรการอื่นๆ ที่เข้มขึ้น ผลการตักเตือนแล้วจำนวน 246 ราย และ ดำเนินคดีจำนวน 1,047 ราย รวมต้องดำเนินคดีทั้งหมด 1,293 ราย มาตรการนี้เป็นมาตรการหนึ่งที่สำคัญจะทำให้ยอดผู้ติดเชื้อลดลง ซึ่งยังต้องคงไว้โดยจะมีรายงานให้ทราบทุกวัน

4. มาตรการดูแลคนไทยที่จะเดินทางเข้าประเทศ

มาตรการดูแลคนไทยที่จะเดินทางเข้าประเทศ ถือเป็นมาตรการสอง ต่อเนื่องจากมีผู้เดินทางเข้ามาแล้วจำนวน 158 ราย โดยมีการสั่งการให้สนามบินหยุดรับเครื่องบินโดยสารจากเดิมประกาศถึงวันที่ 6 เมษายน ให้ต่อเนื่องวันที่ 7-18 เมษายน ซึ่ง ศบค. ได้ประชุมเร่งด่วนเพื่อแก้ไขปัญหาให้คนไทยที่ติดค้างอยู่ในสนามบินต่างๆ ทั้งในเอเชียและทวีปอื่นๆ ดังนี้ จำนวนคนไทยที่ติดค้างอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่นจำนวน 15 ราย ประเทศเกาหลีใต้ 60 ราย ประเทศเนเธอร์แลนด์ 1 ราย สหราชอาณาจักร 1 ราย กาตาร์ 14 ราย สำหรับวันที่ 7 เมษายน นี้ เวลา 20.30 น. จะมีเครื่องบินจากฝรั่งเศสมารับคนของตนเองจากจังหวัดภูเก็ต โดยจะมีคนไทย จำนวน 14 คน ที่ได้รับการประสานงานจะเดินทางมาพร้อมกับเที่ยวบินนี้มาลงที่สนามบินภูเก็ต กลุ่มที่ 2 วันที่ 7 เมษายน เวลา 21.45 น. จะมีคนไทยที่ตกค้างจากประเทศสหรัฐอเมริกา จำนวน 60 คน เดินทางมาที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และอีกกลุ่มหนึ่งจะเดินทางมาวันที่ 8 เมษายน เวลา 15.30 น. จะมีเที่ยวบินจากญี่ปุ่น มีคนไทยตกค้างจำนวน 22 คน มาที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศจะมีการดำเนินการประสาน ดูแล อย่างดี

5. ข้อมูลสถิติการเข้า-ออกราชอาณาจักร

สำหรับข้อมูลสถิติการเข้า-ออกราชอาณาจักรผ่านช่องทางทางอากาศ ตั้งแต่วันที่ 18 มีนาคม – 6 เมษายน มีแนวโน้มลดลง การเดินทางขาเข้าจากเดิมวันที่ 19 มีนาคม 63 มีจำนวน 18,532 คน ขณะนี้ลดลงเหลือ 347 คน การเดินทางขาออกจากเดิม 37,203 คน ตอนนี้ ลดลงเหลือ 1,965 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนต่างชาติที่ต้องการกลับบ้าน สำหรับรายงานการเดินทางขาเข้าประเทศ เป็นคนต่างชาติที่มีใบอนุญาตหรือ Work Permit จำนวน 172 คน และคนไทยจำนวน 175 คน หากเป็นผู้ที่เดินทางมาจากประเทศที่เป็นกลุ่มเสี่ยงจะเตรียมความพร้อมหาสถานที่ หรือ State Quarantine ให้อยู่อย่างสะดวกสบาย ส่วนรายงานการเดินทางออกจากราชอาณาจักร กระทรวงการคมนาคม และการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย ได้ร่วมมือกันให้มีสถิติที่น้อยลง รายงานวันที่ 6 เมษายน มีคนไทยเดินทางออกนอกประเทศ จำนวน 241 คน คนต่างชาติเดินทางออกนอกประเทศจำนวน 1,724 คน โดยโฆษก ศบค. กล่าวย้ำว่า ทุกๆ มาตรการที่ดำเนินการอยู่ก็เพื่อที่จะช่วยเหลือพี่น้องประชาชน ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ เพื่อคนไทยปลอดเชื้อ ปลอดภัย

ที่มา: http://www.thaigov.go.th


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ