
น.ส.ทวิดา กมลเวชช รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผยว่า กทม.จะขอปรับข้อมูลผู้ประสบภัยจากเหตุอาคาร สตง.ถล่ม อีกครั้งเพื่อยืนยันความถูกต้องให้ตรงตามจำนวนที่ได้แจ้งสูญหายไว้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ
ล่าสุดมีญาติแจ้งจำนวนผู้สูญหายไว้กับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจรวม 100 ราย โดย กทม.ร่างผู้เสียชีวิตให้ตรวจพิสูจน์อัตลักษณ์ 86 ราย ทางสำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจสามารถตรวจจนสามารถยืนยันตัวตนได้แล้ว 63 ราย เป็นคนไทย 46 ราย เมียนมา 15 ราย กัมพูชา 1 ราย และลาว 1 ราย ดังนั้นจะมีจำนวนผู้ประสบภัยรวมทั้งสิ้น 109 ราย จากเดิม 103 ราย ขณะนี้ กทม.สามารถค้นพบแล้ว 86 ราย คงเหลือที่ยังติดตามค้นหาอีก 14 ราย
ด้าน นายสุริยชัย รวิวรรณ ผู้อำนวยการสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กทม. กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องยืนยันว่าจะไม่ยุติภารกิจจนกว่าจะสามารถยืนยันได้ว่าไม่มีผู้ติดค้างอยู่ภายในซากอาคารอีก เมื่อวานนี้ได้หารือกับพนักงานสอบสวนถึงข้อมูลที่แท้จริงว่ามียอดผู้สูญหายไปจำนวนเท่าไหร่ เพราะหากพบผู้สูญหายครบ 103 รายแล้วเลิกภารกิจก็มีความเสี่ยงในการทิ้งผู้สูญหายไว้ เป้าหมายคือการช่วยนำผู้ที่ติดอยู่ในซากตึกออกให้หมด จึงต้องมีการทำงานต่อเนื่องจนกว่าจะมีความชัดเจนว่าไม่มีใครติดค้างอยู่
สำหรับภารกิจค้นหาผู้ติดค้างในวันนี้ สามารถเปิดพื้นที่โซน D ได้ทั้งหมดแล้ว จึงเหลือแค่โซน C2 และ C3 ที่เชื่อมกับอาคารจอดรถ คาดว่าคนที่ลงจากบันไดหนีไฟต้องวิ่งผ่านเพื่อไปลานจอดรถ เนื่องจากตัวอาคารอาจยุบลงไปจนถึงชั้นใต้ดิน เราจึงเร่งเปิดพื้นที่บริเวณนั้นที่เหลืออีกประมาณ 2 เมตร ซึ่งหากมีผู้ที่หนีไปบริเวณลานจอดรถก็คาดว่าจะติดค้างอยู่ในบริเวณนี้ ส่วนช่องว่างของโถงบันไดลิฟต์ด้านหน้าและลิฟต์ด้านหลังก็จะเป็นอีกจุดหนึ่งที่จะเน้นทำงานเปิดพื้นที่ให้ถึงบริเวณพื้นชั้นใต้ดินให้ได้ ซึ่งจะทำงานควบคู่ไปกับทางเชื่อมไปลานจอดรถ
ส่วนของโซน A4 ซึ่งทำงานมาตลอดทั้งคืน เนื่องจากโซนนี้ทีม USAR มีฐานข้อมูลว่าเป็นช่องทางตั้งแต่วันทำงาน 1-2 วันแรก ๆ ที่ว่าหากมุดไปบริเวณโพรงนี้จะเป็นทางเข้าตั้งแต่โซน D4 และเป็นโพรงระนาบกับแนวผนังอาคาร ความกว้างประมาณ 10x15 เมตร และยังสามารถมุดขึ้นจากชั้นใต้ดินสู่ด้านบนได้ด้วยจึงเป็นอีกจุดที่คาดว่าจะพบผู้สูญหาย เนื่องจากพบสัญญาณคราบน้ำเหลืองและแมลงวัน ซึ่งตรงกับข้อมูลที่ว่าผู้สูญหายเดินอยู่บริเวณพื้นชั้นใต้ดิน ดังนั้นจึงเป็นอีกบริเวณที่จะเน้นการทำงานเพื่อให้เข้าถึงผู้สูญหาย คาดว่าวันนี้หากไม่มีอุปสรรคจะสามารถเข้าถึงพื้นชั้นใต้ดินของโซน C ได้ทั้งหมด
ปัญหาใหญ่คือการตัดผ่าเศษเหล็กและเสาโครงสร้างที่ยังมีความสมบูรณ์ ซึ่งต้องใช้เวลาในการตัดด้วยระบบแก๊สและการเจาะดึงด้วยแรงรถเครื่องจักรขนาดใหญ่ ซึ่งหากสามารถเปิดพื้นที่โซน C2 และ C3 ได้ภายในวันนี้ก็จะถือว่าเปิดพื้นที่ชั้นใต้ดินได้แล้วกว่าครึ่งหนึ่งของอาคารที่พังถล่ม โดยขณะนี้มีรถเครื่องจักรขนาดใหญ่ 6 คันที่ปฏิบัติงานได้ตามแผน และหากเกิดความเสียหายก็สามารถหาทดแทนได้