"ประเสริฐ" ลงพื้นที่อีสานตอนกลาง กำชับปรับปรุงแหล่งน้ำ รับมือฝนทิ้งช่วง-น้ำแล้ง

ข่าวทั่วไป Saturday May 17, 2025 18:28 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะประธานกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) ลงพื้นที่กำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในพื้นที่เขตตรวจราชการที่ 12 ณ จังหวัดขอนแก่น และมหาสารคาม โดยช่วงเช้า เป็นประธานการประชุมเพื่อรับฟังรายงานความก้าวหน้าการแก้ไขปัญหาต่างๆ ตามนโยบายที่สำคัญของรัฐบาล โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดในพื้นที่เขตตรวจราชการที่ 12 (จังหวัดขอนแก่น กาฬสินธุ์ มหาสารคาม และร้อยเอ็ด) รายงานปัญหาที่สำคัญของจังหวัด และนายไวฑิต โอชวิช ที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์น้ำ รักษาราชการแทนรองเลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) รายงานสถานการณ์น้ำและการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในพื้นที่ พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการต่างๆ เข้าร่วมประชุม หลังจากนั้นได้ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ำ อ.โกสุมพิสัย และ อ.เชียงยืน จ.มหาสารคาม

รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า การลงพื้นที่ในครั้งนี้ เพื่อขอรับทราบปัญหาและความต้องการด้านน้ำ จากผู้ว่าราชการจังหวัดทั้ง 4 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดขอนแก่น กาฬสินธุ์ มหาสารคาม และร้อยเอ็ด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งพบว่ายังมีบางพื้นที่มีความเสี่ยงที่จะประสบอุทกภัย หากมีปริมาณฝนที่ตกสะสมจำนวนมาก อาจส่งผลให้เกิดน้ำล้นตลิ่งเข้าท่วมพื้นที่การเกษตร เขตชุมชน และพื้นที่เศรษฐกิจได้

อย่างไรก็ดี แม้ว่าขณะนี้ประเทศไทยได้เข้าสู่ฤดูฝนแล้ว แต่คาดว่าในช่วงปลายเดือนมิถุนายนถึงต้นเดือนกรกฎาคมนี้ อาจเกิดฝนทิ้งช่วงในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลางตอนบน โดยเฉพาะพื้นที่นอกเขตชลประทาน จำเป็นต้องเฝ้าระวังพื้นที่เสี่ยงขาดแคลนน้ำจากสภาวะฝนทิ้งช่วงด้วย จึงได้มอบหมายให้หน่วยงานเร่งดำเนินการ ดังนี้

1.ให้ สทนช. ประสานจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการขับเคลื่อนมาตรการรับมือฤดูฝน ปี 2568 อย่างเข้มข้น โดยเฉพาะพื้นที่เสี่ยง หรือพื้นที่เปราะบางที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากอุทกภัย และฝนทิ้งช่วง ตามที่ สทนช. คาดการณ์ว่าทั้ง 4 จังหวัด ในเดือนกรกฎาคม-ตุลาคม จะมีพื้นที่เสี่ยงฝนทิ้งช่วง โดยเฉพาะจังหวัดขอนแก่น ในช่วงเดือนกันยายน คาดว่าจะมีพื้นที่เสี่ยงฝนทิ้งช่วงสูงสุดถึง 24 อำเภอ 142 ตำบล ซึ่งต้องมีการวางแผนบริหารจัดการน้ำอย่างรอบคอบและรัดกุม พร้อมเน้นย้ำให้มีการแจ้งเตือนภาคส่วนที่เกี่ยวข้องล่วงหน้า และเมื่อเกิดเหตุจะต้องเข้าให้ความช่วยเหลือประชาชนได้ทันที

2.ให้กรมชลประทาน และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย บริหารจัดการน้ำต้นทุนของอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ และขนาดกลาง โดยวางแผนจัดสรรน้ำให้สอดคล้องกับสถานการณ์ และเพียงพอกับความต้องการ และให้ความสำคัญกับการใช้น้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคเป็นลำดับแรก

3.ให้จังหวัด กรมชลประทาน กรมทรัพยากรน้ำ กรมทรัพยากรน้ำบาดาล และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เร่งซ่อมแซมหรือปรับปรุงแหล่งน้ำ บ่อบาดาล รวมถึงระบบประปาหมู่บ้านที่อยู่ในความรับผิดชอบให้พร้อมใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม เพื่อให้การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำใน 4 จังหวัดเกิดความมั่นคง ยั่งยืน และเกิดประโยชน์กับประชาชนในพื้นที่ ให้จังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เตรียมความพร้อมด้านต่างๆ และจัดทำรายละเอียดเพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากรัฐบาลโดยเร็ว

ด้าน นายไวฑิต โอชวิช ที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์น้ำ รักษาราชการแทนรองเลขาธิการ สทนช. กล่าวเพิ่มเติมว่า จากข้อมูลของกรมอุตุนิยมวิทยา ได้คาดการณ์ว่าช่วงเดือนสิงหาคม-ตุลาคม อาจจะมีพายุหมุนเขตร้อนเคลื่อนเข้าสู่ประเทศไทย 1-2 ลูก โดยเฉพาะบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคเหนือ

สทนช. จึงได้บูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเฝ้าระวังติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด ปัจจุบันพบว่าใน 4 จังหวัด มีอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ 2 แห่ง คือ อ่างเก็บน้ำอุบลรัตน์ จังหวัดขอนแก่น และอ่างเก็บน้ำลำปาว จังหวัดกาฬสินธุ์ เมื่อรวมกับอ่างเก็บน้ำขนาดกลางและขนาดเล็กอีกจำนวน 8,543 แห่ง มีปริมาตรน้ำรวมกันอยู่ที่ 1,598.07 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือ 32% ของความจุเก็บกัก ซึ่งน้อยกว่าช่วงเดียวกันของปี 2567

ขณะเดียวกัน ยังได้คาดการณ์พื้นที่เสี่ยงเกิดอุทกภัยช่วงเดือนพฤษภาคม ได้แก่ จังหวัดขอนแก่น 7 อำเภอ เช่น อ.บ้านไผ่ อ.น้ำพอง, จังหวัดกาฬสินธุ์ 16 อำเภอ เช่น อ.ดอนจาน อ.กุฉินารายณ์, จังหวัดมหาสารคาม 7 อำเภอ เช่น อ.โกสุมพิสัย อ.กุดตรัง และจังหวัดร้อยเอ็ด 17 อำเภอ เช่น อ.ทุ่งเขาหลวง อ.จังหาร เป็นต้น

"สทนช. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้เตรียมแผนปฏิบัติการและดำเนินการตามภารกิจที่สอดคล้องกับมาตรการรับมือฤดูฝนปีนี้แล้ว เพื่อลดผลกระทบจากปัญหาอุทกภัย รวมถึงวางแผนการเก็บกักน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้งหน้าด้วย โดย สทนช. จะติดตามผลการดำเนินการของมาตรการ และประเมินสถานการณ์ฝนอย่างต่อเนื่อง พร้อมขับเคลื่อนการสร้างเครือข่ายด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลจากหน่วยงานภาครัฐให้ประชาชนได้เข้าถึงอย่างรวดเร็ว สามารถเตรียมการรับมือสถานการณ์น้ำปีนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ" นายไวทิต กล่าว


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ