
คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ในการประชุมครั้งที่ 18/2568 (ครั้งที่ 960) วันที่ 14 พฤษภาคม 2568 ได้พิจารณากำหนดหลักเกณฑ์การอนุญาตสำหรับผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน โดยเห็นว่า ภาคเอกชนที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้านอกเหนือจากการใช้ไฟจากการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย สามารถดำเนินการผลิตไฟฟ้าเพื่อใช้เองได้ทั้งการผลิตด้วยตนเอง หรือให้ผู้อื่นผลิตให้เพื่อใช้ในกิจการตนเอง (Self-Use) โดยจะต้องไม่ส่งผลกระทบต่อระบบโครงข่ายไฟฟ้าที่มีของเดิมของการไฟฟ้าและต้องไม่กระทบต่อการใช้ทางสาธารณะของประชาชนที่มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์ร่วมกัน

สำนักงาน กกพ. ได้เผยแพร่เอกสารชื่อ "หลักเกณฑ์การอนุญาตสำหรับผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนที่มีวัตถุประสงค์ผลิตไฟฟ้าเพื่อใช้เองและ/หรือจ้างผู้อื่นผลิตไฟฟ้าเพื่อใช้ในกิจการตนเอง (Independent Power Supply: IPS)" หรือ หลักเกณฑ์ IPS ฉบับรับฟังความคิดเห็น เพื่อรับฟังความคิดเห็นตั้งแต่วันที่ 26 พ.ค. ถึง 10 มิ.ย. 2568
เมื่อขอรับฟังความคิดเห็นผู้เขียนก็ขอแสดงความคิดเห็นต่อหลักเกณฑ์ดังกล่าวจากมุมมองทางกฎหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากมุมของการเป็นเจ้าของทรัพย์สิน พัฒนาการของตลาดพลังงาน และการเปลี่ยนผ่านทางพลังงาน

หากไม่มีใครเป็นเจ้าของแสงแดด ไม่มีใครเป็นเจ้าของสายลม ขณะเดียวกันพวกเราผู้ใช้พลังงานก็สามารถหาและติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากแสงแดดและสายลมได้ เราก็น่าจะเป็น "เจ้าของ" ไฟฟ้าที่ผลิตได้ในฐานะเจ้าของทรัพย์สินนี้ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ก็ได้ให้นิยามของ "ทรัพย์สิน" ให้หมายความรวมทั้งทรัพย์และวัตถุไม่มีรูปร่าง ซึ่งอาจมีราคาและอาจถือเอาได้
ดังนั้น เมื่อไฟฟ้าที่เราผลิตขึ้นนั้น แม้จะไม่มีรูปร่าง แต่ก็มีราคา และถือเอาได้ จึงเป็นทรัพย์สินของเรา (หมายเหตุท้ายคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 877/2501 (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 8/2501 ศ.จิตติ ติงศภัทิย์ ได้ให้ความเห็นเอาไว้ว่า "แม้จะถือว่าแรงไฟฟ้าเป็นวัตถุไม่มีรูปร่าง แต่ก็มีราคา ถือเอาได้ และนำพาไปเสียจากเจ้าของได้ ทั้งสามารถวัดปริมาณที่เอาไปได้ด้วย")

โดยทั่วไปแล้ว "สิ่ง" ที่เรามีกรรมสิทธิ์ เราก็ย่อมมีสิทธิใช้สอยและจำหน่ายทรัพย์สินของตนและได้ซึ่งดอกผลแห่งทรัพย์สินนั้น ทั้งนี้ ภายในบังคับแห่ง "กฎหมาย" แปลความได้ว่า หากไฟฟ้าเป็นของเรา เราย่อมใช้ไฟฟ้านั้นได้หรือจะขายให้บุคคลอื่นก็ได้ตราบเท่าที่กฎหมายไม่ได้ห้ามหรือจำกัดสิทธิของเรา
กฎหมายสามารถจำกัดสิทธิในทรัพย์สินของเราได้ ตามมาตรา 37 วรรคสองของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 บัญญัติว่า "บุคคลย่อมมีสิทธิในทรัพย์สินและการสืบมรดก" ซึ่งวรรคสองยังบัญญัติต่อไปว่า "ขอบเขตแห่งสิทธิและการจำกัดสิทธิเช่นว่านี้ ให้เป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติ"
กฎหมายระดับพระราชบัญญัติในกรณีนี้ ได้แก่ พระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. 2550 ซึ่งมีมาตรา 47 ที่บัญญัติว่า "การประกอบกิจการพลังงานไม่ว่าจะมีค่าตอบแทนหรือไม่ ต้องได้รับใบอนุญาตจากคณะกรรมการ (กกพ.)" กิจการไฟฟ้าเป็นส่วนหนึ่งของกิจการพลังงาน ซึ่งกฎหมายให้นิยามเอาไว้ว่า "การผลิต การจัดให้ได้มา การจัดส่ง การจำหน่ายไฟฟ้า หรือการควบคุมระบบไฟฟ้า" จากบทบัญญัติข้างต้น หากบุคคลประสงค์จะผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าย่อมจะต้องขออนุญาตจาก กกพ. (เว้นแต่จะเข้าข้อยกเว้น เช่นการผลิตและจำหน่ายที่ต่ำกว่า 1,000 กิโลโวลต์แอมแปร์)
การผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าเป็นที่รัฐจะต้องกำกับดูแล (Regulate) เพื่อป้องกันอันตรายจากการดำเนินการ ไม่ว่าจะโดยผ่านระบบการขอรับใบอนุญาต หรือระบบการแจ้งการประกอบกิจการ และเมื่อการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้านั้นสำคัญกับประเทศ สำคัญกับความเป็นอยู่ที่ดี และการใช้งานระบบโครงข่ายไฟฟ้าของประเทศแบบไม่มีแผนการย่อมกระทบความมั่นคงของประเทศได้ ดังนั้นแล้วการมีหลักเกณฑ์การอนุญาตผลิตและใช้ไฟฟ้าแบบ IPS จึงเป็นมาตรการที่มีความจำเป็น
อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันการผลิตไฟฟ้านั้นมีลักษณะกระจายตัวมากขึ้น มีขนาดเล็กลง ไม่จำเป็นต้องเป็นการผลิตโดยโรงไฟฟ้าพลังความร้อนขนาดใหญ่ที่ต้องจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบโครงข่ายไฟฟ้าเท่านั้น เป็นไปได้ที่ผู้ใช้ไฟฟ้าจะผลิตไฟฟ้าใช้เอง เป็นไปได้ที่เราจะจ้างให้บุคคลอื่นผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนให้เราโดยเราไม่ต้องถูกบังคับให้ต้องซื้อและรับหน่วยไฟฟ้าจากการไฟฟ้าเท่านั้น โดยที่ผู้ผลิตนั้นอาจผลิต ณ พื้นที่ที่อยู่ "ห่างจากจุดที่จะมีการใช้ไฟฟ้า" เรียกได้ว่าการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้านั้นมี "ตลาด" เป็นตลาดที่เติบโต มีการแข่งขัน และตอบสนองความต้องการไฟฟ้าสีเขียวในยุคของการเปลี่ยนผ่านทางพลังงานสู่สังคมคาร์บอนต่ำ
กกพ. เองก็ยอมรับว่าการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้านั้นมีการแข่งขันได้และมีตลาดได้ โดยปรากฏตามระเบียบคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานว่าด้วยนิยามตลาดและขอบเขตตลาดการให้บริการพลังงานที่เกี่ยวข้อง พ.ศ. 2565 ซึ่งกำหนดให้ กกพ. กำหนดนิยามและขอบเขตตลาดตามประเภทใบอนุญาตประกอบกิจการพลังงานเป็นหลัก ในความเห็นของผู้เขียนตลาดบริการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้านั้นเป็นตลาดที่แข่งขันได้ไม่ได้มีลักษณะผูกขาดโดยธรรมชาติ
ตามตัวอย่างรูปที่ 1 ของหลักเกณฑ์ IPS ฉบับรับฟังความคิดเห็น กรณีที่บุคคลผลิตไฟฟ้าเองในพื้นที่ของตัวผู้ใช้ไฟฟ้าเอง (พื้นที่ที่ผู้ใช้ไฟฟ้ามีกรรมสิทธิ์ สิทธิครอบครอง หรือสิทธิใช้ประโยชน์ในพื้นที่หรือทรัพย์สินที่ใช้ในการประกอบกิจการที่ได้รับจากบุคคลอื่นหรือหน่วยงานเจ้าของพื้นที่) ไม่ผ่านทางสาธารณะ (เช่น ถนน/คลอง/ห้วยสาธารณะ ที่สาธารณะประโยชน์ ทางรถไฟ คลองชลประทาน ที่ราชพัสดุ ทางหลวง เป็นต้น) และไม่เป็นพื้นที่ของเอกชนอื่นนั้นเป็นสิ่งที่ขออนุญาตได้
การอนุญาตนี้สนับสนุนการผลิตไฟฟ้าเองและใช้เอง เช่น บริษัท ก. ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ในที่ดินของตน กำลังการผลิต 3MW ผลิตไฟฟ้าและใช้ไฟฟ้าที่ผลิตได้ในโรงงานของตนเอง บริษัท ก. ไม่ได้ขายไฟฟ้าให้กับบุคคลอื่น โดยยังคงซื้อไฟฟ้าจากระบบจำหน่ายไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย (ไฟฟ้าจากแผงโซลาร์เซลล์ไม่เพียงพอกับความต้องการใช้ไฟฟ้าของโรงงาน) กรณีนี้ บริษัท ก. สามารถขอรับใบอนุญาตผลิตไฟฟ้าจาก กกพ. ได้ ผลดีคือ บริษัท ก. สามารถลดค่าไฟฟ้าจากการซื้อไฟฟ้าจากระบบโครงข่ายลง และสามารถลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกซึ่งวัดจากการใช้พลังงาน (Scope II Emission) ได้
ตามรูปแบบที่ 1 นี้ บริษัท ก. อาจว่าจ้างให้บุคคลอื่นติดตั้งระบบ Solar Rooftop มาให้บริการติดตั้งระบบหลังคาโซลาร์เซลล์เพื่อใช้งานบนหลังคาโรงงานของตนโดยบริษัทรับจ้างนี้จะสำรวจพื้นที่ และคำนวณแผนการลงทุน ติดตั้งทดสอบแผงและติดตามการทำงานของระบบให้ บริษัท ก. โดยบริษัท ก. จะกลายเป็นผู้ผลิตไฟฟ้าเพื่อใช้เองซึ่งธุรกิจนี้ "ไม่ใช่เรื่องใหม่" แต่เป็นบริการที่อยู่ในตลาดแล้ว
ตามตัวอย่างรูปที่ 2 ของหลักเกณฑ์ IPS ฉบับรับฟังความคิดเห็น บริษัท ก. อาจทำสัญญาให้บริษัท ข. ผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากระบบ Solar Rooftop ที่ผลิตได้ทั้งหมดจากหลังคาของโรงงานในที่ดินของ บริษัท ก. ให้กับตัว บริษัท ก. เอง กรณีนี้ บริษัท ข. สามารถขออนุญาตผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าให้กับ บริษัท ก. ได้
ผลดีคือ บริษัท ก. สามารถประหยัดค่าไฟฟ้าจากการซื้อไฟฟ้าจากระบบโครงข่ายลง และสามารถลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกซึ่งวัดจากการใช้พลังงาน (Scope II Emission) ได้เช่นเดียวกับรูปแบบที่ 1 โดยที่ บริษัท ก. ไม่ต้องขอรับใบอนุญาตผลิตไฟฟ้าและจะมีสถานะเป็นผู้ใช้ไฟฟ้าตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าแบบ Onsite (Private) PPA กับ บริษัท ข. ได้ ผู้เขียนเข้าใจว่ารูปแบบที่ 2 นี้ เป็นบริการที่มีอยู่แล้วในตลาดไม่ใช่เรื่องใหม่
ในทางปฏิบัติ สัญญา Onsite (Private) PPA นี้ บริษัท ก. จะให้คำสัญญากับ บริษัท ข. ว่าจะรับซื้อไฟฟ้า (ทั้งหมด) ที่ บริษัท ข. ผลิตได้จากระบบ Solar Rooftop ที่ติดตั้งบนหลังคาโรงงาน ส่วน บริษัท ข. ก็มักจะต้องให้คำมั่นสัญญาว่าระบบจะผลิตไฟฟ้าได้ในปริมาณขั้นต่ำเพียงใด (Production Guarantee) โดยบริษัท ก. กับ บริษัท ข. สามารถตกลงราคาซื้อขายไฟฟ้าสีเขียวนี้ตามราคาตลาดได้
หลักเกณฑ์ IPS ฉบับรับฟังความคิดเห็นอธิบายอย่างชัดเจนว่ารูปแบบโครงการที่ไม่ใช่รูปแบบที่ 1 และรูปแบบที่ 2 "โดยมีการผ่านทางสาธารณะหรือพื้นที่เอกชนอื่น หรืออยู่นอกพื้นที่ผู้ใช้ไฟฟ้าบางส่วน/ทั้งหมด หรือมีการผลิตไฟฟ้าให้แก่ 2 นิติบุคคลขึ้นไป (One to many) ยังไม่สามารถดำเนินการได้"
แต่มีข้อยกเว้นคือกรณีโครงการผลิตเพื่อใช้เอง หรือจ้างผู้อื่นผลิตไฟฟ้าที่อยู่ในพื้นที่เฉพาะ และโครงการที่อยู่ในพื้นที่เฉพาะบางส่วน เช่น โรงไฟฟ้าอยู่นอกพื้นที่นิคมฯ และมีระบบจำหน่ายไฟฟ้าออกนอกนิคมฯ เพื่อจำหน่ายให้แก่ผู้ใช้ไฟฟ้าที่อยู่ในนิคมอุตสาหกรรม
รูปแบบนี้จะทำให้ บริษัท ข. ซึ่งมีโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนที่ตั้งอยู่นอกนิคมอุตสาหกรรมสามารถผลิตไฟฟ้าและส่งไฟฟ้าดังกล่าวมาขายให้กับผู้ใช้ไฟฟ้าที่อยู่ในนิคมอุตสาหกรรม (เช่น โรงงานอุตสาหกรรมที่ประสงค์จะใช้ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเท่านั้น) โดยทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าแบบ Offsite Private PPA
หากแปลความ "ข้อยกเว้นนี้" ตามตัวอักษรแล้ว หมายความว่า บริษัท ข. จะสามารถขายไฟฟ้าให้ผู้ใช้ไฟฟ้าหลายรายได้ตราบเท่าที่ผู้ซื้อไฟฟ้าเหล่านี้ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรม แต่เมื่อไฟฟ้าที่บริษัท ข. ผลิตนอกนิคมอุตสาหกรรมนั้นน่าจะต้องถูกส่งผ่านระบบโครงข่ายไฟฟ้าที่รับเอาหน่วยไฟฟ้าจากจุดผลิตเพื่อส่งผ่านไปยังผู้ใช้ไฟฟ้าในนิคมอุตสาหกรรมแล้ว บริษัท ข. จะต้องดำเนินการให้มีการส่งไฟฟ้าด้วย
ทางเลือกที่หนึ่ง บริษัท ข. อาจลงทุนก่อสร้างระบบโครงข่ายดังกล่าวด้วยตัวเอง โดยอาจซื้อที่ดินที่จะใช้วางระบบโครงข่าย หรืออาจดำเนินการเพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธิในการผ่านที่ดิน (Right of Way) ของบุคคลอื่นเพื่อวางระบบโครงข่ายไฟฟ้าของตน ซึ่งตามหมวด 5 ของพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. 2550 นั้นมีบทบัญญัติรองรับการรอนสิทธิตามเขตระบบโครงข่ายไฟฟ้าโดยผู้รับใบอนุญาตเอกชนได้โดยผู้รับใบอนุญาตเอกชนจะต้องจ่ายค่าใช้ประโยชน์หรือค่าทดแทนตามมาตรา 108 เมื่อจ่ายแล้วผู้รับใบอนุญาตสามารถวางระบบโครงข่ายพลังงาน เหนือ ตาม หรือ ข้าม ที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน (มาตรา 107(2)) หรือวางระบบโครงข่ายพลังงานไป ใต้ เหนือ ตาม หรือ ข้าม พื้นดินของบุคคลใดปักหรือตั้งเสาหรืออุปกรณ์อื่นลงในหรือบนพื้นดินของบุคคลใดซึ่งมิใช่เป็นที่ตั้งโรงเรือน (มาตรา 107(3))
ทางเลือกที่สอง หาก บริษัท ข. จะไม่ลงทุนสร้างระบบโครงข่ายไฟฟ้าเองเพื่อที่จะไม่ต้องรับต้นทุนจากการจัดหาที่ดินหรือการรอนสิทธิ กรณีจะเกิดคำถามว่า บริษัท ข. นั้นจะสามารถ "ขอใช้ระบบโครงข่ายไฟฟ้า" ของการไฟฟ้าเพื่อส่งผ่านไฟฟ้าตามมาตรา 81 แห่งพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. 2550 ได้หรือไม่ กฎหมายบัญญัติว่าผู้รับใบอนุญาตที่มีระบบโครงข่ายพลังงานต้องยินยอมให้ผู้รับใบอนุญาตหรือผู้ประกอบกิจการพลังงานรายอื่นใช้หรือเชื่อมต่อระบบโครงข่ายพลังงานของตน ทั้งนี้ ตามข้อกำหนดที่ผู้รับใบอนุญาตที่มีระบบโครงข่ายพลังงานประกาศกำหนด
หากการไฟฟ้าเจ้าของระบบโครงข่ายมั่นใจว่าระบบโครงข่ายซึ่งเป็นทรัพย์สินของตนสามารถถูกใช้รองรับการส่งผ่านไฟฟ้าของ บริษัท ข. ไปยังผู้ใช้ไฟฟ้าในนิคมอุตสาหกรรมได้แล้ว การไฟฟ้าจะสามารถให้บริการนี้ได้โดยทำสัญญาให้บริการระบบโครงข่ายไฟฟ้า (Wheeling Service Agreement) กับบริษัท ข. ได้หรือไม่ การรับบริการระบบโครงข่ายนี้สำคัญกับการทำสัญญา Offsite Private PPA และเป็นหนึ่งในปัจจัยชี้วัดโอกาสที่จะได้สินเชื่อโครงการ (Project Finance) จากสถาบันการเงิน
อย่างไรก็ตาม หลักเกณฑ์ IPS ฉบับรับฟังความคิดเห็นนั้นแสดงให้เห็นถึงข้อจำกัดสิทธิในทรัพย์สินและทางเลือกของผู้ใช้ไฟฟ้าในหลายกรณี ตามตัวอย่างรูปที่ 1.3.1 หาก บริษัท ก. ผลิตไฟฟ้าในที่ดินของตัวเองและจะใช้ไฟฟ้าเองโดยต้องมีการส่งไฟฟ้าผ่านระบบโครงข่ายของตัวเองแต่จะ "ต้องผ่าน" ทางสาธารณะหรือที่ดินของบุคคลอื่นเช่นที่ดินของบุคคลอื่น (เช่น บริษัท ค.) กรณีนี้ บริษัท ก. ไม่อาจขออนุญาตได้ แม้ว่า บริษัท ค. ประสงค์จะยินยอมให้ บริษัท ก. ได้ "สิทธิในการผ่านที่ดิน" เพื่อติดตั้งระบบการจ่ายหน่วยไฟฟ้าของตัวบริษัท ก. เองโดยไม่มีการใช้ระบบโครงข่ายไฟฟ้าของการไฟฟ้าเพื่อส่งหน่วยไฟฟ้าจากจุดผลิตไปยังจุดใช้ไฟฟ้าได้
หากแปลความหลักเกณฑ์ได้ตามนี้ ผู้เขียนเห็นว่าหลักเกณฑ์ IPS ฉบับรับฟังความคิดเห็นจะสร้างอุปสรรคต่อการเปลี่ยนผ่านทางพลังงานและส่งผลกระทบต่อสิทธิในทรัพย์สินของบุคคล ในส่วนของการเปลี่ยนผ่านทางพลังงาน หาก บริษัท ก. ต้องการใช้ไฟฟ้าที่ตนผลิตได้เองซึ่งเป็นทรัพย์สินของตนจริง ๆ บริษัท ก. จะต้องซื้อที่ดินของ บริษัท ค. เพื่อทำให้การผลิตและใช้ไฟฟ้านี้ไม่เกี่ยวข้องกับที่ดินของบุคคลอื่น ในขณะที่ บริษัท ค. ก็ไม่อาจใช้ที่ดินได้ตามศักยภาพของที่ดินซึ่งกรณีนี้มีศักยภาพที่จะเป็นพื้นที่สำหรับการส่งผ่านไฟฟ้าโดยไม่ได้ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงแน่นอนของระบบโครงข่ายไฟฟ้าแต่ประการใด
ตามหลักเกณฑ์ IPS ฉบับรับฟังความคิดเห็นการผลิตและขายไฟฟ้าให้บุคคลสองรายขึ้นไป (One to many) นั้นเป็นไปได้สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าในนิคมอุตสาหกรรม แต่หาก บริษัท ข. เช่าที่ดินของ บริษัท ค. ซึ่งอยู่ติดกับที่ดินของ บริษัท ก. เพื่อติดตั้งและใช้งานระบบ Solar Rooftop และขายไฟฟ้าให้ บริษัท ก. ในกรณีนี้ ไฟฟ้าที่ถูกผลิตในที่ดินของ บริษัท ค. นี้จะถูกส่งไปในที่ดินของ บริษัท ก. (โดยไม่ผ่านพื้นที่ของเอกชนอื่นหรือไม่ผ่านทางสาธารณะใด ๆ) กรณีนี้ บริษัท ข. ไม่อาจขออนุญาตได้
นอกจากนี้ หาก บริษัท ข. เช่าที่ดินของ บริษัท ก. เพื่อติดตั้งระบบ Solar Rooftop ขายไฟฟ้าที่ผลิตได้ให้บริษัท ก. เท่านั้นกรณีนี้ บริษัท ข. จะสามารถขออนุญาตได้ตามรูปแบบที่ 2 แต่ในโครงการเดียวกันนี้หาก บริษัท ข. จะขายไฟฟ้าที่ผลิตได้ให้กับผู้ใช้ EV ทั่วไปหรือขายไฟฟ้าให้ บริษัท ง. ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ บริษัท ก. และมีโรงงานตั้งอยู่ที่ดินของบริษัท ก. ด้วยแล้ว กรณีนี้ บริษัท ข. ก็จะไม่สามารถขออนุญาตได้
ผู้เขียนเห็นว่า หลักเกณฑ์ IPS ฉบับรับฟังความคิดเห็นสร้างผลกระทบต่อสิทธิในทรัพย์สินของบุคคล เนื่องจาก บริษัท ข. ไม่อาจใช้หรือจำหน่ายไฟฟ้า "ของตน" ได้ตามสิทธิที่พึงมี การใช้และจำหน่ายไฟฟ้าในกรณีนี้ไม่น่าจะสร้างผลกระทบต่อความมั่นคงเชื่อถือได้ของระบบโครงข่ายไฟฟ้า และไม่น่าจะก่อความเสี่ยงต่อการใช้ทางสาธารณะแต่ประการใด จึงควรพิจารณาว่าการจำกัดสิทธิในทรัพย์สินนี้บรรลุผลในเชิงป้องกันหรือไม่ และเป็นมาตรการที่ได้สัดส่วนกับสิทธิที่ถูกจำกัดหรือไม่
ข้อจำกัดนี้ยังอาจส่งผลเสียต่อการลงทุนเพื่อเพิ่มสัดส่วนการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ตลาดไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนอีกด้วย เนื่องจากจะเป็นอุปสรรคต่อการตอบสนองอุปสงค์ไฟฟ้าสีเขียวได้ ตลาดที่ยังดึงดูดการลงทุนจึงอาจเหลือเพียงการที่ บริษัท ข. ต้องรอรอบการรับซื้อไฟฟ้าโดยรัฐบาลขายไฟฟ้าให้รัฐ (การไฟฟ้า) เท่านั้นกรณีนี้ หลักเกณฑ์ IPS ฉบับรับฟังความคิดเห็นจะกลายเป็นอุปสรรคต่อตลาดพลังงานหมุนเวียนซึ่งเป็นการผลิตและซื้อขายไฟฟ้าแบบกระจายตัว บริษัท ข. จะตัดสินใจลงทุนผลิตไฟฟ้าได้เมื่อมั่นใจว่าจะมีการซื้อไฟฟ้าหรืออย่างน้อยก็มีโอกาสที่จะขายไฟฟ้าในตลาดที่มีการแข่งขัน หลักเกณฑ์ IPS ฉบับรับฟังความคิดเห็นจะทำให้รูปแบบการซื้อขายไฟฟ้านี้ไม่เกิดขึ้น
โดยสรุป ผู้เขียนเข้าใจว่าหลักเกณฑ์ IPS ฉบับรับฟังความคิดเห็นนั้นมีสาระสำคัญที่ "การผลิตเองใช้เอง" เป็นหลักไม่ได้มีภารกิจในการเปิดตลาด Peer-to-Peer Energy Trading หรือกรณีลูกค้าผู้ใช้ไฟฟ้าขายไฟฟ้าคืนให้แก่ผู้ผลิตไฟฟ้า อย่างไรก็ตาม สำนักงาน กกพ. ควรจะสร้างความชัดเจนว่าหลักเกณฑ์ IPS ฉบับรับฟังความคิดเห็นนี้ก็จะไม่ถูกใช้เพื่อเป็นข้อกฎหมายที่จำกัดการซื้อขายไฟฟ้าระหว่างเอกชนซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็นตลาดบริการพลังงานอีกตลาดหนึ่ง
ที่สำคัญ หลักเกณฑ์ IPS ฉบับรับฟังความคิดเห็นนี้จะไม่ถูกใช้เพื่อตีความสิทธิการใช้ระบบโครงข่ายไฟฟ้าแบบ Third-Party Access และการใช้บริการระบบโครงข่ายไฟฟ้าของการไฟฟ้าเพื่อส่งผ่านไฟฟ้าเพื่อรองรับตลาด Private PPA ที่มิได้มีรูปแบบ IPS
นอกจากนี้ ข้อยกเว้นของหลักเกณฑ์ IPS ฉบับรับฟังความคิดเห็นนั้นเผยให้เห็นถึงโอกาสของการผลิตและใช้ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนที่มีการผลิตแบบกระจายศูนย์แต่สามารถทำให้มีความชัดเจนได้มากยิ่งขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีการผลิตไฟฟ้าให้แก่ 2 นิติบุคคลขึ้นไปซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้เขียนสนับสนุน อย่างไรก็ตาม สำนักงาน กกพ. สาสามารถใช้โอกาสนี้ให้รายละเอียดและอธิบายข้อจำกัดที่ชัดเจนเกี่ยวกับการรอนสิทธิเพื่อวางระบบโครงข่ายไฟฟ้าและการใช้ระบบโครงข่ายไฟฟ้าของการไฟฟ้าและการทำสัญญาใช้บริการระบบโครงข่ายไฟฟ้าเพื่อสนับสนุนการผลิตและใช้ไฟฟ้าพลังงานหมุนทั้งแบบที่เป็น Onsite PPA และ Offsite PPA
ผศ.ดร.ปิติ เอี่ยมจำรูญลาภ ผู้อำนวยการหลักสูตร LL.M. (Business Law)
หลักสูตรนานาชาติ คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย