
ข้อพิพาทชายแดนระหว่างประเทศไทยและกัมพูชาได้กลายเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจอีกครั้งในปี พ.ศ. 2568 หลังจากเกิดเหตุปะทะของกำลังทหารบริเวณช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อปลายเดือนพฤษภาคม ส่งผลให้ทหารกัมพูชาเสียชีวิตหนึ่งนาย และยกระดับความตึงเครียดระหว่างสองประเทศอย่างมีนัยสำคัญ และกัมพูชาได้ประกาศว่าจะยื่นคำร้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice: ICJ) เพื่อวินิจฉัยข้อพิพาทในพื้นที่ชายแดน 4 จุด ได้แก่ มอมเบย ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตากระเบย
คำประกาศของกัมพูชานี้ได้กระตุ้นให้เกิดคำถามว่า ประเทศไทยยังอยู่ภายใต้เขตอำนาจของศาล ICJ หรือไม่ และหากศาลรับคำร้อง กรณีนี้จะมีผลกระทบต่อไทยเพียงใด บทความนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์หลักกฎหมายระหว่างประเทศว่าด้วยเขตอำนาจของ ICJ และกรณีศึกษาเปรียบเทียบที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะคดีปราสาทพระวิหาร และบทเรียนจากคดี Nicaragua v. USA รวมถึงข้อจำกัดของ ICJ ในปัจจุบัน
ความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับเขตอำนาจศาล ICJ ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) เป็นองค์กรตุลาการหลักขององค์การสหประชาชาติ (UN) จัดตั้งขึ้นตามกฎบัตรสหประชาชาติ พ.ศ. 2488 โดยมีหน้าที่วินิจฉัยข้อพิพาทระหว่างรัฐเท่านั้น (Statute of the ICJ, Article 34(1): "Only states may be parties in cases before the Court") เขตอำนาจของ ICJ จำเป็นต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานแห่ง "ความยินยอมของรัฐ" กล่าวคือ ศาลจะมีอำนาจพิจารณาคดีได้ก็ต่อเมื่อรัฐคู่กรณีได้ให้ความยินยอมโดยชัดแจ้งในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง
ตามบทบัญญัติมาตรา 36 ของธรรมนูญ ICJ ถูกตีความได้ว่าการให้ความยินยอมสามารถทำได้ผ่าน 3 ช่องทาง ได้แก่
(1) ข้อตกลงเฉพาะ (Special Agreement) ที่รัฐทั้งสองฝ่ายลงนามเพื่อให้นำคดีขึ้นสู่ ICJ ได้โดยตรง
(2) ข้อสัญญาในสนธิสัญญา (Jurisdiction Clauses in Treaties) ที่กำหนดให้ใช้ ICJ เป็นกลไกระงับข้อพิพาทหากเกิดข้อขัดแย้งจากการตีความหรือการปฏิบัติตามสนธิสัญญา
(3) การประกาศยอมรับเขตอำนาจทั่วไป (Optional Clause Declaration) ตามมาตรา 36(2) ของธรรมนูญ ICJ ที่ให้รัฐสามารถประกาศล่วงหน้าว่าจะยอมรับเขตอำนาจของศาลโดยไม่ต้องให้ความยินยอมเป็นรายกรณี
Statute of the ICJ, Article 36 (2) "The states parties to the present Statute may at any time declare that they recognize as compulsory ipso facto and without special agreement, in relation to any other state accepting the same obligation, the jurisdiction of the Court in all legal disputes concerning: "
คำแปลภาษาไทยของมาตรา 36(2): "รัฐภาคีแห่งธรรมนูญฉบับนี้ อาจประกาศได้ทุกเมื่อว่า ตนยอมรับอำนาจของศาลว่าเป็นอำนาจที่มีผลผูกพันโดยอัตโนมัติ (ipso facto) และโดยไม่ต้องมีข้อตกลงพิเศษ ในความสัมพันธ์กับรัฐอื่นที่ยอมรับพันธะเช่นเดียวกันนั้น สำหรับข้อพิพาททางกฎหมายใด ๆ ทั้งสิ้นที่เกี่ยวข้องกับ ..."
ในกรณีของประเทศไทย ประเทศไทยเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติ (UN) จึงถือว่าเป็น "รัฐภาคี" ของ ICJ โดยปริยาย แต่ไม่ได้ยอมรับเขตอำนาจของ ICJ โดยอัตโนมัติ (ipso facto) ตามข้อ 36(2) มาตั้งแต่ต้น (โปรดพิจารณารายนามประเทศที่ยอมรับเขตอำนาจของ ICJ โดยอัตโนมัติ ได้ที่ https://www.icj-cij.org/declarations) และในปี 2567 คณะรัฐมนตรีได้มีมติย้ำว่า สนธิสัญญาระหว่างประเทศใดก็ตามที่ไทยเป็นภาคี จะต้องมีข้อสงวนว่าไม่ยอมรับเขตอำนาจของ ICJ โดยอัตโนมัติ
จึงกล่าวโดยสรุปได้ว่า ประเทศไทยไม่ได้ประกาศยอมรับเขตอำนาจของ ICJ โดยอัตโนมัติตามมาตรา 36(2) และไม่เคยให้ความยินยอมเข้าสู่กระบวนการ ICJ ประเทศอื่นจึงไม่สามารถบังคับไทยเข้าสู่กระบวนการ ICJ ได้
ตัวอย่างของข้อพิพาทที่ ICJ เคยมีคำตัดสินต่อไทย คดีปราสาทพระวิหาร (Temple of Preah Vihear Case) เป็นกรณีตัวอย่างสำคัญของการที่ ICJ เคยใช้อำนาจในการตัดสินข้อพิพาทระหว่างไทยกับกัมพูชา โดยในปี พ.ศ. 2505 ศาลได้วินิจฉัยว่า กัมพูชาเป็นผู้มีอธิปไตยเหนือปราสาทพระวิหาร โดยอาศัยแผนที่ที่ฝรั่งเศสจัดทำร่วมกับสยามและพฤติกรรมของรัฐบาลไทยที่ตีความได้ว่า "ยอมรับโดยปริยาย" (Cambodia v. Thailand, ICJ Reports 1962) แม้คำพิพากษาจะถือเป็นที่สุด แต่ประเทศไทยในเวลานั้นได้ปฏิเสธผลของคำตัดสิน และเกิดการปะทะกันหลายครั้งในภายหลัง โดยเฉพาะช่วงที่กัมพูชาขอขึ้นทะเบียนปราสาทเป็นมรดกโลกในปี พ.ศ. 2551
ต่อมาในปี พ.ศ. 2554 กัมพูชาได้ยื่นคำร้องขอให้ศาล ICJ "ตีความ" คำพิพากษาเดิมปี 2505 ศาลจึงมีคำสั่งให้ทั้งสองฝ่ายถอนกำลังออกจากพื้นที่ใกล้เคียงปราสาท และยืนยันว่าพื้นที่โดยรอบปราสาทตกอยู่ภายใต้เขตอำนาจของกัมพูชา ทั้งสองประเทศตกลงปฏิบัติตามคำวินิจฉัยดังกล่าว
กรณีศึกษาเปรียบเทียบ คดี Nicaragua v. USA (1986) คดีนี้เป็นตัวอย่างสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงข้อจำกัดของระบบตุลาการระหว่างประเทศ แม้ศาล ICJ จะวินิจฉัยว่าสหรัฐอเมริกา ละเมิดอธิปไตยของนิการากัวจากการสนับสนุนกองกำลังติดอาวุธ (Contras) และสั่งให้ชดใช้ค่าเสียหาย แต่สหรัฐกลับไม่ยอมรับคำตัดสิน และใช้สิทธิยับยั้ง (veto) ในคณะมนตรีความมั่นคงเพื่อไม่ให้มีการบังคับใช้คำพิพากษา (Military and Paramilitary Activities in and against Nicaragua (Nicaragua v. United States of America), ICJ Reports 1986) ในที่สุด นิการากัวต้องพึ่งพาแรงกดดันจากที่ประชุมใหญ่แห่งสหประชาชาติ (the UN General Assembly) ซึ่งไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย แต่สามารถสร้างแรงกดดันทางการทูตให้สหรัฐฯ บริจาคเงินให้แก่รัฐบาลนิการากัวในเวลาต่อมา
คำวิจารณ์ต่อระบบ ICJ ว่าเป็นตุลาการที่ไร้กลไกบังคับ แม้ตามมาตรา 94 ของกฎบัตรสหประชาชาติ (Article 94 of the Charter of the United Nations) รัฐสมาชิกมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามคำตัดสินของ ICJ แต่ในทางปฏิบัติ หากรัฐไม่ยอมรับหรือปฏิเสธเขตอำนาจของศาล ก็ไม่มีกลไกใดที่สามารถบังคับได้อย่างแท้จริง นักวิชาการจำนวนมากจึงวิจารณ์ว่า ICJ เป็น "ตุลาการไร้กระดูกสันหลัง" (ratios without spines) กล่าวคือ มีอำนาจวินิจฉัยแต่ไม่มีอำนาจบังคับ
จากกรณีข้อพิพาทไทย-กัมพูชา และแนววินิจฉัยในอดีตของ ICJ แสดงให้เห็นว่า แม้ศาล ICJ จะไม่มีอำนาจบังคับคำพิพากษาในระดับที่เทียบเท่าศาลภายในประเทศ แต่ก็มีบทบาทสำคัญในการสร้างความชอบธรรมทางการทูต ประเทศไทยจึงควรระมัดระวังในการดำเนินนโยบายระหว่างประเทศ และตั้งอยู่บนพื้นฐานของผลประโยชน์ชาติ และหลักนิติธรรม
ดุษดี ดุษฎีพาณิชย์
ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายการค้า การลงทุน และอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ