
เหตุการณ์ตึงเครียดบริเวณชายแดนไทยกัมพูชาในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงมิถุนายน 2568 ได้นำพาประเด็นข้อพิพาทด้านอธิปไตยเข้าสู่เวทีสาธารณะอีกครั้ง ภายหลังการปะทะกันในพื้นที่สามเหลี่ยมมรกต และท่าทีของรัฐบาลกัมพูชาที่เชิญชวนไทยให้ร่วมกันนำข้อพิพาทชายแดนเข้าสู่การพิจารณาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) แต่หากไทยไม่เข้าร่วม กัมพูชาก็จะดำเนินการฝ่ายเดียว
ภายใต้บริบทดังกล่าว หลัก "มือสะอาด" (Clean Hands Doctrine) ได้ปรากฏขึ้นอีกครั้งในฐานะ "จริยธรรมทางกฎหมาย" ที่ไทยอาจใช้เพื่อโต้แย้งและชี้แจงต่อเวทีโลกว่า กัมพูชาไม่มีสถานะที่เหมาะสมในการร้องขอความช่วยเหลือจากศาลระหว่างประเทศ ICJ
หลัก "มือสะอาด" มีรากฐานมาจากกฎหมายโรมัน โดยสะท้อนออกมาในสุภาษิตของกฎหมายโรมัน เช่น "ex dolo malo non oritur actio" (การกระทำที่เกิดจากเจตนาไม่สุจริตย่อมไม่ก่อให้เกิดสิทธิเรียกร้อง), "nullus commodum capere potest de iniuria sua propria" (บุคคลไม่อาจหาผลประโยชน์จากการกระทำผิดของตน), และ "ex iniuria ius non oritur" (สิทธิย่อมไม่เกิดจากการกระทำอันไม่ชอบด้วยกฎหมาย - หลัก Estoppel)
หลักการนี้เคยถูกนำมาใช้ในกฎหมายระหว่างประเทศ ปรากฏอย่างชัดเจนในความเห็นของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศถาวร (Permanent Court of International Justice: PCIJ) ที่จัดตั้งขึ้นภายใต้สันนิบาตชาติ (League of Nations) ในคดี Meuse, Diversion of Water Case (Netherlands v Belgium)
โดยผู้พิพากษาในคดีท่านหนึ่งได้แสดงความเห็นไว้ว่า "... เป็นหลักแห่งความเสมอภาคที่สำคัญว่า เมื่อคู่กรณีทั้งสองมีพันธะสัญญาแบบเดียวกัน หากฝ่ายหนึ่งไม่ปฏิบัติตามอย่างต่อเนื่อง ก็ไม่ควรได้รับสิทธิในการฟ้องร้องอีกฝ่ายที่ไม่ปฏิบัติเช่นเดียวกัน ศาลยุติธรรมแห่งความเสมอภาคจะไม่ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ร้องที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมเกี่ยวกับประเด็นข้อพิพาท..."
โดย Sir Gerald Fitzmaurice อดีตที่ปรึกษากฎหมายของกระทรวงการต่างประเทศอังกฤษ และอดีตผู้พิพากษา ICJ กล่าวบรรยายที่สถาบัน The Hague Academy เมื่อปี ค.ศ. 1957 ไว้ว่า "ผู้ใดจะร้องขอความยุติธรรมจากศาล ต้องมาด้วยมือสะอาด" (He who comes to equity for relief must come with clean hands) รัฐที่กระทำผิดกฎหมายอาจสูญเสียสิทธิในการฟ้องร้องต่อการกระทำที่ผิดกฎหมายแบบเดียวกันโดยรัฐอื่น โดยเฉพาะหากการกระทำนั้นเกิดขึ้นเพื่อตอบโต้การละเมิดของตนเอง
อย่างไรก็ตาม แม้ต่อมาการยกหลักมือสะอาดต่อศาล ICJ ในคดีร่วมสมัยยังไม่ได้ข้อยุติที่ชัดเจน แต่ก็มีอิทธิพลในเชิงจริยธรรมและการให้เหตุผลในคดีระหว่างประเทศในลักษณะของการโต้แย้งเชิงกระบวนพิจารณา (Procedural Objection)
แม้ประเทศไทยจะไม่ยอมรับเขตอำนาจบังคับของ ICJ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2503 แต่อาจหยิบยกหลัก Clean Hands ขึ้นเป็นข้อโต้แย้ง และใช้ในการสื่อสารกับเวทีโลกได้ โดยชี้แจงถึงพฤติกรรมของกัมพูชาที่ผ่านมา เช่น การส่งกำลังทหาร ขุดสนามเพลาะ และวางกำลังในพื้นที่พิพาท, การดำเนินกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ร้องเพลงชาติกัมพูชาบนพื้นที่พิพาทปราสาทตาเมือนธม, การเผาศาลาตรีมุข และการไม่ปฏิบัติตามกลไกทวิภาคีที่ตกลงกันไว้ (JBC) เป็นต้น ทั้งหมดนี้อาจสะท้อนให้เห็นได้ว่า กัมพูชาไม่สุจริต (Bad Faith) จึงไม่มีสถานะที่เหมาะสมในการยื่นข้อพิพาทต่อศาล
ข้อโต้แย้งนี้อาจไม่ได้รับการพิจารณาโดยตรงในศาล แต่สามารถใช้เป็นเครื่องมือในการสื่อสารทางการทูตและนโยบาย เพื่อสร้างความชอบธรรม และป้องกันความเสียหายทางภาพลักษณ์ โดยใช้หลักดังกล่าวเพื่อเน้นความจำเป็นของ "ความสุจริต การเคารพข้อตกลงทวิภาคี และการเจรจาโดยสันติ" ซึ่งเป็นรากฐานของทั้งกฎหมายระหว่างประเทศและกรอบความร่วมมืออาเซียน
ดุษดี ดุษฎีพาณิชย์
ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายการค้า การลงทุน และอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ