
นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.ต่างประเทศ, พลเอก ณัฐพล นาคพานิชย์ รมช.กลาโหม นายแพทย์พรมมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี พลเอกธราพงษ์ มะละคำ รองปลัดกระทรวงกลาโหม และนายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ เดินทางออกจากท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 ดอนเมือง ไปยังประเทศมาเลเซีย เพื่อเข้าร่วมการประชุมหารือแนวทางสันติภาพในภูมิภาค ณ ทำเนียบนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย โดยก่อนการเดินทางได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน ว่า การพูดคุยในวันนี้ จะพบกับพลเอกฮุน มาเน็ต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ในช่วงเวลา 15:00 น โดยการพูดคุยจะเป็นการให้หยุดยิงโดยทันที เพื่อไม่ให้กระทบกับประชาชน
การพูดคุยในวันนี้เป็นการยกระดับการพูดคุยระดับผู้นำประเทศ โดยนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน จะเป็นประธานในการพูดคุย และมีผู้สังเกตการณ์ 2 ประเทศ คือจีนและสหรัฐอเมริกา และย้ำว่าประเทศไทยยังอยากจะมีการพูดคุยระดับ 2 ประเทศ รวมถึงรายละเอียดอื่นๆที่จะพูดคุย แต่อยู่ภายใต้การยึดมั่นอธิปไตยของประเทศไทย และไม่มีการพูดคุยภายใต้แผนที่ 1:200,000
แต่อย่างใด คำนึงถึงการพูดคุยที่ประเทศได้ประโยชน์สูงสุด ย้ำว่าการหยุดยิงครั้งนี้ก็เพื่อนำไปสู่การเจรจาระหว่าง 2 ประเทศ แต่ไม่ได้หมายความว่าหยุดยิงแล้วจะมีทหารกัมพูชาอยู่ในพื้นที่ประเทศไทย เพราะยึดมั่นในหลักอธิปไตยของประเทศเป็นหลัก รวมถึงชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่จะไปพิจารณา หากมีเรื่องใดที่สำคัญที่จะผูกพันระยะยาวหรือเป็นปัญหาสำคัญของประเทศจะต้องนำกลับมาสู่ที่ประชุมรัฐสภาอีกครั้งหนึ่ง แต่หากเป็นการเฉพาะหน้า คณะจะพิจารณาอย่างเหมาะสม
ส่วนกัมพูชาจะปฏิบัติตามหรือไม่นั้น นายภูมิธรรมกล่าวว่า ถือเป็นหัวใจในการพูดคุย เพราะไทยเคยบอกไว้แล้วว่า ไทยไม่เชื่อมั่นในประเทศกัมพูชา เพราะสิ่งที่กระทำมาทั้งหมดเป็นสิ่งที่สะท้อนว่าไม่เชื่อในความจริงใจและจริงจังในการแก้ไขปัญหา ดังนั้น รายละเอียดต่างๆที่จะเกิดขึ้น กัมพูชาก็ต้องแสดงให้เห็น ซึ่งเรื่องนี้ต้องดูว่าทางกัมพูชาจะดำเนินการอย่างไร
นายภูมิธรรมกล่าวถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่า กัมพูชาจะนำจีนเข้ามาร่วมด้วย ว่า กัมพูชาได้เสนอความเห็นกับทางมาเลเซีย จีน และสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นการริเริ่มของฝ่ายกัมพูชา แต่สิ่งที่ไทยคลางแคลงใจ คือการที่กัมพูชายังบุกเข้ามาจนทำให้เป็นปัญหา ในขณะเดียวกันก็ยังขอยุติให้เกิดการหยุดยิง ดังนั้นไทยจึงได้บอกกับทุกคนว่า เรื่องที่เสนอไป ไทยได้รับมาตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว และเดินตามแนวทางนี้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้น กัมพูชาไม่เคยตอบสนองเรื่องนี้เลย ไทยไม่ได้มีปัญหา เพราะโลกรู้ดีว่าเกิดขึ้นจากความพยายามตั้งใจทำของกัมพูชา และสิ่งที่เกิดขึ้น ทำแบบไม่อยู่กับร่องกับรอยและอยู่ในเขตกติกากฎหมายระหว่างประเทศ การยิงเข้ามาในโรงพยาบาล ซึ่งโลกนี้ไม่ทำกัน ส่งผลกระทบต่อพลเรือนและเด็ก รวมถึงนักศึกษา ส่งผลให้เกิดความพิการ รวมถึงวางกับระเบิด ซึ่งเป็นตัวอย่างให้เห็นว่ากัมพูชาละเมิดอนุสัญญาออตตาวา
"สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นการยืนยัน โลกก็รับรู้ ทางรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ก็ได้ชี้แจงในเวทีโลกแล้ว ซึ่งประเทศไทยเข้าใจจุดยืนของประชาคมโลก ไม่อยากให้เกิดการปะทะกันไม่กระทบประชาชน โดยที่ไทยยืนตามหลักนี้และเชื่อว่าโลกเข้าใจประเทศไทย และยืนอยู่ข้างประเทศไทย เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นเกิดจากกัมพูชา ละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศทั้งหมด แน่นอนว่าทุกคนอยากเห็นความสงบสุข ไม่มีความรุนแรง ซึ่งการที่มาเลเซียในฐานะประธานอาเซียนยื่นมือเข้ามาช่วย ทุกคนพูดประเด็นเดียวกันว่าไม่อยากเห็นสงครามและการปะทะที่รุนแรงมากไปกว่านี้ โดยเฉพาะพลเรือนไทยที่ถูกกระทำ"และย้ำว่าโดยการเจรจาวันนี้จะทำให้พลเรือนทั้งสองฝ่ายเกิดความปลอดภัยไม่ให้รุกล้ำเข้ามาในดินแดนของใคร ย้ำว่าประเทศไทยมีหลักฐานว่ากัมพูชาเป็นฝ่ายยิงก่อนและได้มีการเตรียมการไว้แล้ว พร้อมกันนี้พร้อมที่จะดูข้อเสนอต่างๆ โดยทีมที่ไปพยายามยึดมั่นประโยชน์ของประเทศและอธิปไตยของประเทศและประชาชนไทยเป็นหัวใจสำคัญ การไปครั้งนี้มีการปรึกษาหารือกับกองทัพด้วย และพร้อมรับข้อเสนอจากกองทัพไปยืนยันในที่เจรจาด้วย การเจรจาครั้งนี้ไม่ใช่แค่รัฐบาล แต่มีทุกหน่วยงาน เหล่าทัพ ที่ดำเนินการอยู่ รับเงื่อนไขของกองทัพมาด้วย เพื่อนำไปพูดคุย ดังนั้นต้องรอผลการเจรจา