นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะประธานกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) กล่าวภายหลังลงพื้นที่ตรวจสถานการณ์อุทกภัยในจังหวัดสุโขทัยว่า ถึงแม้พายุวิภาจะอ่อนกำลังลงเป็นดีเปรสชัน และหย่อมความกดอากาศต่ำ ประกอบกับร่องมรสุมที่พัดผ่านบริเวณตอนบนของประเทศ ส่งผลให้หลายพื้นที่ในจังหวัดภาคเหนือตอนบนได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง เกิดอุทกภัยในหลายพื้นที่ โดยพื้นที่ลุ่มน้ำยม-ลุ่มน้ำน่านได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก ประกอบกับปัจจุบันไม่มีอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่รองรับ ทำให้พื้นที่เปราะบางของลุ่มน้ำยมเกิดความเสี่ยงต่อการเกิดอุทกภัย
"ขณะนี้ยังอยู่ในช่วงกลางฤดูฝน ซึ่งยังคงมีความเสี่ยงที่จะเกิดฝนตกหนักและอุทกภัยเพิ่มขึ้นอีก จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ทุกหน่วยงานต้องเตรียมการรองรับสถานการณ์ให้เข้มข้นยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่เสี่ยง เพื่อป้องกันและลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับประชาชนในพื้นที่" นายประเสริฐ กล่าวในช่วงเดือน ส.ค.-ต.ค.นี้คาดการณ์ว่าปริมาณฝนในหลายพื้นที่อาจสูงกว่าค่าเฉลี่ย ซึ่งมีโอกาสที่พื้นที่ภาคเหนือและภาคกลางตอนล่างจะเกิดอุทกภัย น้ำหลาก และดินถล่มได้ จึงขอให้ทุกหน่วยบูรณาการทำงานร่วมกัน และเร่งดำเนินการมาตรการเชิงรุก เพื่อลดความเสี่ยงและความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน โดยได้มอบหมายหน่วยงาน ดังนี้
1) สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ร่วมกับ กรมชลประทาน และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย บูรณาการการระบายน้ำจากเขื่อนสิริกิติ์ และ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดนผ่านกลไกศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้า (ชั่วคราว) ในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยลุ่มน้ำยม-น่าน ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เกิดผลกระทบต่อพื้นที่ท้ายน้ำน้อยที่สุด และมีน้ำสำรองให้เพียงพอต่อการอุปโภคบริโภคและภาคการเกษตรในฤดูแล้งที่จะมาถึงด้วย
2) ให้กรมชลประทานเร่งระบายน้ำเพื่อลดระดับน้ำ จากแม่น้ำยมไปสู่แม่น้ำน่าน พร้อมทั้งเสริมคันป้องกันน้ำชั่วคราวในจุดที่มีความเปราะบาง และติดตั้งเครื่องสูบน้ำในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำล้นตลิ่ง และให้บูรณาการกับกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และกรมทรัพยากรน้ำ ในการจัดสรรเครื่องสูบน้ำให้เพียงพอต่อความจำเป็น
3) ให้กรมชลประทาน ร่วมกับ จังหวัดอุตรดิตถ์ จังหวัดพิษณุโลก และจังหวัดสุโขทัย เตรียมความพร้อมการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่บางระกำโมเดล สำหรับใช้รับน้ำหลากในช่วงกลางเดือน ส.ค.ถึงปลายเดือน ต.ค.68
4) ให้จังหวัดประชาสัมพันธ์ให้ข้อมูลประชาชนในพื้นที่รับทราบอย่างต่อเนื่อง
5) ให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ร่วมกับ จังหวัดในพื้นที่ลุ่มน้ำยมและลุ่มน้ำน่าน จัดทำแผนเผชิญเหตุ เตรียมความพร้อมบุคลากร เครื่องมือ และระบบการช่วยเหลือฉุกเฉิน ให้สามารถให้ความช่วยเหลือประชาชนได้อย่างทันท่วงที
6) ในกรณีที่ต้องมีการอพยพ ให้มีการจัดเตรียม ศูนย์พักพิงชั่วคราว พร้อมทั้งจัดเตรียมสาธารณูปโภค อาหารและหน่วยแพทย์ ให้พร้อมในการดูแลผู้ประสบภัย
7) การแจ้งเตือนภัย ขอให้ จังหวัดในพื้นที่ลุ่มน้ำยมและลุ่มน้ำน่าน ร่วมกับ กรมประชาสัมพันธ์ และ ปภ. ใช้ระบบการแจ้งเตือนภัยผ่านระบบ Cell Broadcast (CB) ควบคู่กับช่องทางอื่น ๆ ทุกช่องทางที่มีของภาครัฐ เอกชน และภาคประชาชน ทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับประเทศ เพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง ครบถ้วน และทันต่อสถานการณ์
สำหรับสถานการณ์น้ำในลุ่มน้ำยมมีจำนวนแหล่งน้ำทั้งหมด 3,859 แห่ง ความจุรวม 533.03 ล้าน ลบ.ม. ปัจจุบันมีปริมาตรน้ำรวม 317.65 ล้าน ลบ.ม. หรือคิดเป็น 60% ของความจุเก็บกัก ขณะที่ลุ่มน้ำน่าน มีจำนวนแหล่งน้ำทั้งหมด 4,337 แห่ง ความจุรวม 10,809.33 ล้าน ลบ.ม. ปัจจุบันมีปริมาตรน้ำรวม 7,814.26 ล้าน ลบ.ม. หรือคิดเป็น 72% ของความจุเก็บกัก ในภาพรวมยังคงมีพื้นที่รองรับปริมาณฝนที่จะตกมาได้อีก สำหรับสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ลุ่มน้ำยม-น่าน พบว่า จังหวัดน่านได้รับผลกระทบจากฝนตกสะสมสูงสุด มวลน้ำจากพื้นที่ตอนบนของจังหวัดน่านมีแนวโน้มจะไหลลงสู่เขื่อนสิริกิติ์ ซึ่งเป็นเขื่อนหลักในการรองรับน้ำของลุ่มน้ำน่าน และมีบทบาทสำคัญในการควบคุมการระบายลงสู่แม่น้ำน่านตอนล่างและลุ่มน้ำเจ้าพระยา โดยคาดว่าหากไม่มีฝนตกซ้ำในปริมาณมาก พื้นที่ประสบภัยในจังหวัดน่านจะสามารถกลับเข้าสู่ภาวะปกติได้ภายในสัปดาห์หน้า
ขณะที่ลุ่มน้ำยม จังหวัดแพร่ และสุโขทัยเป็นพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่องจากมวลน้ำตอนบน ขณะนี้สถานการณ์โดยรวมเริ่มคลี่คลาย โดยระดับน้ำในแม่น้ำยมลดลงต่อเนื่อง แต่ยังคงมีน้ำท่วมขังในบางพื้นที่ลุ่มต่ำและพื้นที่เกษตร อย่างไรก็ตาม จังหวัดสุโขทัยยังมีแนวโน้มระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้นในบางจุด ซึ่งได้มีการควบคุมมวลน้ำจากภาคเหนือลงสู่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา โดยขณะนี้อยู่ในช่วงปรับลดการระบายน้ำจากเขื่อนสิริกิติ์ และควบคุมระดับน้ำเหนือเขื่อนนเรศวร เพื่อเร่งระบายน้ำจากแม่น้ำยมเข้าสู่แม่น้ำน่าน และควบคุมระดับน้ำไม่ให้ล้นตลิ่งในตัวเมืองสุโขทัย รวมทั้งเสริมแนวป้องกันน้ำในเขตเศรษฐกิจและพื้นที่เสี่ยงซ้ำซาก และเปิดบานประตูระบายน้ำทุกจุดเต็มศักยภาพ รวมถึงการเตรียมพื้นที่รองรับน้ำใน พื้นที่ลุ่มต่ำ บางระกำโมเดล ที่สามารถหน่วงน้ำได้ถึง 400 ล้าน ลบ.ม. หลังจากเก็บเกี่ยวข้าวแล้วเสร็จภายในกลางเดือนสิงหาคม เพื่อเตรียมรองรับปริมาณฝนหรือพายุที่คาดว่าจะเกิดขึ้นอีกในช่วงปลายฤดูฝน