พล.ร.ต.สุรสันต์ คงสิริ โฆษกศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทบ.) กล่าวชี้แจงประเด็นด้านความมั่นคงว่า สถานการณ์ทั่วไปบริเวณชายแดนอยู่ในภาวะปกติ ฝ่ายไทยได้เฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์ต่อเนื่อง โดยสังเกตพบการปฏิบัติการของฝ่ายกัมพูชาเรื่องการเสริมที่มั่นแข็งแรงในพื้นที่ปฏิบัติการตามแนวชายแดน ทั้งนี้ ถือว่ายังอยู่ในสถานการณ์หรือเกณฑ์ที่ยอมรับได้
ส่วนการปฏิบัติของคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว (Interim Observer Team: IOT) ของอาเซียน ที่เป็นผลมาจากการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee: GBC) นำโดยผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารของมาเลเซีย ประจำไทย มีแผนจะลงพื้นที่เพื่อสังเกตการณ์ผลกระทบต่าง ๆ ในพื้นที่ รวมถึงความเป็นอยู่ของประชาชนที่ได้รับผลกระทบ เพื่อแสดงความโปร่งใส จริงใจ และยืนยันการปฏิบัติของฝ่ายไทยตามหลักปฏิบัติของสากล
พล.ร.ต.สุรสันต์ กล่าวว่า วันนี้ที่ประชุมศบ.ทบ. ได้รับรายงานจากกองบัญชาการกองทัพไทยว่า มีแผนที่จะนำคณะ IOT หรือผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารอาเซียนชั่วคราวเป็นผู้สังเกตการณ์ลงพื้นที่ดังกล่าว โดยวันนี้ได้มีการประชุมที่กองบัญชาการกองทัพไทย โดยคณะผู้ช่วยทูตต่าง ๆ จะมาร่วมประชุม เพื่อกำหนดแผนงานในการลงพื้นที่ในวันพรุ่งนี้ (14 ส.ค.) ในพื้นที่จ.อุบลราชธานี และพื้นที่ของทัพภาค 2 ที่เกี่ยวข้อง ส่วนในวันที่ 15 ส.ค. จะมีการสรุปผลการดำเนินการและทบทวนแผนการปฏิบัติ
ส่วนเรื่องการเก็บกู้ทุ่นระเบิด และการเสริมสร้างความปลอดภัยในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ศบ.ทบ. โดยพล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช.กลาโหม ในฐานะผู้อำนวยการศบ.ทบ. ได้แสดงความห่วงใย และพยายามเร่งหาแนวทางในการประสานความร่วมมือในการเก็บกู้ทุ่นระเบิดที่มีการวางในพื้นที่จำนวนมาก แต่ยังไม่ได้รับการตอบรับหรือความร่วมมือใด ๆ จากกัมพูชาเท่าที่ควร
โดยล่าสุด ได้ประสานผ่านกระทรวงการต่างประเทศ ขอให้ศูนย์อาเซียนเพื่อความร่วมมือด้านการปฏิบัติการเก็บกู้ทุ่นระเบิดด้านมนุษยธรรม (ARMAC) ซึ่งปัจจุบันผู้อำนวยการบริหารของศูนย์ดังกล่าวคือกัมพูชา ซึ่งฝ่ายไทยได้ขอให้กัมพูชา และ ARMAC แสดงความจริงใจในการสนับสนุนภารกิจการเก็บกู้ทุ่นระเบิดตามแนวชายแดนดังกล่าวนี้ด้วย เนื่องจากยังพบว่ามีทหารกัมพูชาลักลอบวางทุ่นระเบิดจำนวนมาก ซึ่งทุ่นระเบิดถือเป็นภัยคุกคามที่ไม่ใช่แก่กำลังพลทหารฝ่ายความมั่นคงเท่านั้น แต่มีผลกระทบและเป็นอันตรายต่อประชาชนตามแนวชายแดนทั้งคนไทยและกัมพูชาด้วย
ทั้งนี้ จะให้ ARMAC เข้ามาสนับสนุนด้านมนุษยธรรมควบคู่กับการดำเนินการกับศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ (TMAC) เพื่อร่วมมือในการเก็บกู้ทุ่นระเบิดให้มากที่สุดและฟื้นฟูพื้นที่ให้มีความปลอดภัยโดยเร็วที่สุด
ส่วนเรื่องการลาดตระเวนในพื้นที่ต่าง ๆ ได้รับการประสานจากกองทัพบก โดยกองทัพภาคที่ 2 ได้รับทราบว่า เรื่องการลาดตระเวน อาจต้องมีการปรับแผน และใช้เทคโนโลยีช่วยเสริมในการตรวจจับทุ่นระเบิดในพื้นที่ ดังนั้น ขอให้ประชาชนมีความเชื่อมั่นว่า กองทัพมีการปฏิบัติและแก้ไขปัญหาต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง
พล.ร.ต.สุรสันต์ กล่าวว่า ศบ.ทบ. ขอเน้นย้ำว่า ภารกิจนี้เป็นการปกป้องชีวิตความปลอดภัยของประชาชนทุกคน กำลังพลทุกนาย รวมถึงการรักษาอธิปไตยและความมั่นคงของชาติอย่างเต็มกำลังความสามารถ
ในส่วนการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (Regional Border Committee: RBC) จะมีการประชุมในวันที่ 16 ส.ค. 68 ของกองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด ส่วนกองทัพภาคที่ 1 และกองทัพภาคที่ 2 ยังอยู่ในช่วงการกำหนดเวลาที่ชัดเจน ซึ่งเบื้องต้นคือช่วงปลายเดือนส.ค. นี้ โดยหนึ่งในหัวข้อของการประชุมนี้ คือการเก็บกู้ทุ่นระเบิด ซึ่งต้องขอความจริงใจกับกัมพูชาในการให้ความร่วมมือเก็บกู้ทุ่นระเบิดร่วมกัน
ส่วนการช่วยเหลือเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบ หน่วยงานของกระทรวงมหาดไทยได้เร่งช่วยเหลือประชาชน พร้อมพิจารณาแนวทางการช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ส่วนผู้ที่ยังไม่ได้รับการเยียวยา กระทรวงมหาดไทยอยู่ระหว่างเร่งดำเนินการสำรวจและให้การช่วยเหลือต่อไป
ในส่วนเรื่องการขอรับบริจาคลวดหนามให้หน่วยงานในพื้นที่ รัฐบาลอยู่ระหว่างการเร่งรัดในการนำงบประมาณส่วนกลางมาใช้ในการจัดหาลวดหนามอย่างเร่งด่วน โดยขอให้ประชาชนมั่นใจในเรื่องของการดำเนินการดังกล่าวว่า เป็นการสนับสนุนภารกิจกองทัพอย่างเต็มความสามารถ พร้อมรวบรวมความต้องการในการจัดหายุทโธปกรณ์และอุปกรณ์เพื่อทดแทนและเสริมขีดความสามารถ
ด้านนางมาระตี นะลิตา อันดาโม โฆษกศบ.ทก. ด้านต่างประเทศ กล่าวว่า สำหรับการดำเนินการด้านการต่างประเทศในกรณีทุ่นระเบิด ในช่วงวันหยุดยาวที่ผ่านมาได้เกิดเหตุการณ์ทหารไทยเหยียบกับระเบิด 2 ครั้ง ที่จ.ศรีสะเกษ และจ.สุรินทร์ ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศ ได้ออกแถลงการณ์ประนามอย่างรุนแรงที่สุดต่อการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลของกัมพูชา เป็นการละเมิดอธิปไตยของไทยที่ขัดต่อหลักการพื้นฐานที่สำคัญของกฎหมายระหว่างประเทศตามที่ระบุไว้ในบทบาทสหประชาชาติ อีกทั้งยังเป็นการละเมิดพันธกรณีภายใต้อนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล (อนุสัญญาออตตาวา) อย่างชัดเจน นอกจากนี้ กระทรวงการต่างประเทศ ได้มีหนังสือประท้วงไปยังฝ่ายกัมพูชา ต่อกรณีทั้งสองแล้ว เพื่อเรียกร้องให้กัมพูชารับผิดชอบต่อเหตุการณ์ดังกล่าว
สำหรับเวทีระหว่างประเทศ ทูตผู้แทนถาวรไทย ณ นครเจนีวา มีหนังสือประท้วงประธานที่ประชุมอนุสัญญาออตตาวา ถึงการละเมิดข้อ 1 ของอนุสัญญา ในขณะที่ทูตผู้แทนถาวรไทย ประจำสหประชาชาติ ณ นิวยอร์ก กำลังมีหนังสือถึงเลขาธิการสหประชาชาติ เพื่อประท้วงอีกครั้งและเพื่อติดตามการที่ไทยได้เรียกร้องขอรับความชัดเจนจากฝ่ายกัมพูชาไปแล้วตามข้อ 8 วรรค 2 ของอนุสัญญาออตตาวา และกำลังรอคำชี้แจงของฝ่ายกัมพูชา ผ่านเลขาธิการสหประชาชาติต่อไป
พร้อมกันนี้ ไทยขอเรียกร้องให้ประชาคมระหว่างประเทศ รวมถึงองค์การระหว่างประเทศ และหน่วยงานต่าง ๆ ที่ให้ความช่วยเหลือด้านการเก็บกู้ทุ่นระเบิดแก่กัมพูชาเป็นจำนวนมาก และระยะเวลาหลายปี พิจารณาทบทวนการช่วยเหลือดังกล่าว โดยคำนึงถึงการกระทำของฝ่ายกัมพูชา ที่ละเมิดอนุสัญญาอย่างร้ายแรง ทั้งนี้ กระทรวงการต่างประเทศ ได้ชี้แจงให้ประชาคมโลก รับทราบถึงข้อเท็จจริงของเรื่องนี้อย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด และจะชี้แจงต่อไป
โดยในวันที่ 15 ส.ค. นี้ กระทรวงการต่างประเทศ จะเชิญรัฐภาคีอนุสัญญาออตตาวาเข้ารับฟังการบรรยายสรุปเพื่ออธิบายข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นการเฉพาะด้วย
นางมาระตี กล่าวว่า เหตุการณ์ 2 ครั้งล่าสุดนี้ สะท้อนความไม่จริงใจของกัมพูชา ในการแก้ไขปัญหา และยังขัดต่อมาตรการหยุดยิงที่ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงกันในการประชุม GBC ซึ่งฝ่ายไทยได้ส่งหนังสือประท้วงไปยังคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราวแล้วเพื่อพิจารณาเรื่องนี้ และนำคณะ IOT ลงพื้นที่ เพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่ากับระเบิดในพื้นที่ที่ไทยพบเจอ ไม่ได้เป็นมรดกทางประวัติศาสตร์ตามที่กัมพูชากล่าวอ้าง
สำหรับประเด็นการดูแลแรงงานต่างด้าวในไทย ศบ.ทบ. ได้หารือว่าการปฏิบัติต่อแรงงานกัมพูชาในประเทศไทย ตามที่มีกระแสข่าวเกี่ยวกับการเรียกเก็บเงินจากแรงงานกัมพูชาที่ประสงค์เดินทางกลับประเทศ เนื่องจากมีความกังวลเกี่ยวกับการถูกปฏิบัติที่ไม่เหมาะสม ความรุนแรง และการถูกข่มขู่จากกลุ่มหัวรุนแรงในประเทศไทย
นางมาระตี กล่าวย้ำว่า ไทยยึดมั่นในสิทธิมนุษยชน ความเสมอภาคกับกลุ่มแรงงานทุกสัญชาติมาโดยตลอด โดยคำนึงว่าแรงงานกลุ่มนี้มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจและสังคมไทย โดยในช่วงเวลานี้ฝ่ายไทยได้ให้ความสำคัญในการคุ้มครองแรงงานกัมพูชาเป็นพิเศษจากกลุ่มผู้ไม่ประสงค์ดี ด้วยการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง เพื่อให้มั่นใจว่าแรงงานกัมพูชาดำเนินชีวิตในไทยได้อย่างปกติ ทั้งนี้ ขอเน้นย้ำว่าปัญหาที่เกิดขึ้นในเวลานี้ ไม่ได้เป็นปัญหาระหว่างประชาชน เป็นประเด็นปัญหาระหว่างรัฐบาล