นายอนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ และผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ (DEIIT) มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เผยอาจเห็นแนวโน้มของการเกษียณอายุ 45 ปีมากขึ้นในบางภาคธุรกิจอุตสาหกรรมเพื่อลดต้นทุน ยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันและผลิตภาพ ปรับโครงสร้างองค์กรให้สอดรับกับเทคโนโลยีการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล (Digital Transformation) และ เทคโนโลยีเอไอ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในตลาดแรงงานในธุรกิจการเงิน การบริการ สื่อมวลชน ผู้บริหารระดับกลางจะถูกแทนที่โดยเอไอมากขึ้น แรงงานที่มีอายุเกิน 45-50 ปีที่อาจจะปรับทักษะใหม่ไม่ได้ หรือต้องใช้การลงทุนมากเกินไป องค์กรจำนวนไม่น้อยก็จะเอาแรงงานวัยกลางคนเหล่านี้ออกทำให้องค์กรกระชับขึ้น และเปิดให้คนรุ่นใหม่อายุน้อยกว่า ฐานเงินเดือนต่ำกว่า มีความสามารถในการใช้เทคโนโลยีได้ดีกว่า เข้ามาแทนที่ ภาวะดังกล่าวอาจทำให้องค์กรอยู่รอดได้แต่อาจไม่ยั่งยืน หากระบบเศรษฐกิจและสังคมได้รับผลกระทบ องค์กรก็จะได้รับผลกระทบในที่สุด
ภาวะ "ยังไม่แก่แล้วไม่มีงานทำ ไม่มีเงินออม ยังมีภาระผ่อนบ้าน มีภาระดูแลลูกและพ่อแม่" จะทำให้เกิดการล่มสลายทางการเงินของมนุษย์เงินเดือนวัยกลางคนในบางธุรกิจอุตสาหกรรม รัฐบาลและสังคมไทยต้องมีมาตรการและนโยบายในการรับมือเพราะจะเป็นปัญหาใหญ่โตในอนาคตได้ ขณะเดียวกันก็จะมีการยืดอายุเกษียณในหลายกิจการในภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคเกษตรกรรมจากภาวการณ์ขาดแคลนแรงงานด้วยเช่นเดียวกัน แรงงานว่างงานไม่สามารถเข้ามาทดแทนแรงงานขาดแคลนได้ เพราะมีทักษะแตกต่างกัน เกิดความไม่สมดุลในตลาดแรงงาน ด้านหนึ่งมีคนว่างงาน อีกด้านหนึ่งไม่สามารถหาคนมาทำงานได้ เทคโนโลยีเอไอ โดยเฉพาะ Generative AI and Artificial General Intelligence -AGI จะเปลี่ยนกายวิภาคของงาน (Anatomy of Work) เสริมศักยภาพการทำงานของแรงงานมนุษย์ จากการวิจัยพบว่า เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์จะทำให้สามารถประหยัดเวลาการทำงานของแรงงานมนุษย์ได้ไม่ต่ำกว่า 60-70%
Generative AI and AGI จะเข้ามาทดแทนแรงงานมนุษย์ความรู้สูง ทักษะสูงและค่าจ้างสูงมากกว่าแรงงานทักษะต่ำและค่าจ้างต่ำมีการคาดการณ์ตำแหน่งงานในตลาดแรงงานทั้งหมดครึ่งหนึ่งหรือประมาณ 50% จะถูกแทนที่โดยระบบอัตโนมัติภายในปี ค.ศ.2045 Generative AI ผนวกเข้ากับเทคโนโลยีการผลิตจะทำให้อัตราการเติบโตของผลิตภาพแรงงานเพิ่มขึ้นระหว่าง 0.5-3.4% ต่อปี Augmentation แรงงานทักษะต่ำให้ทำงานได้ดีขึ้นและสร้างผลกำไรให้กับกิจการได้มากขึ้น Generative AI และ Quantum Computing จะพลิกโฉมโลกและชีวิตมนุษย์มากยิ่งกว่าครั้งใด ๆ ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ
เมื่อเรามีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เนต สมาร์ทโฟน พลิกโฉมระบบเศรษฐกิจ ระบบธุรกิจได้มากพอสมควร แต่ครั้งนี้จะส่งผลต่ออุตสาหกรรม ตั้งแต่อุตสาหกรรมบันเทิงจนถึงการสื่อสาร การเงิน และการออกแบบ ระบบการเมือง การทำงานและวิถีชีวิต ผู้คนมากกว่าเดิมหลายเท่าตัว นอกจากนี้ Generative AI ทำให้สามารถพัฒนาสู่ AGI (Artificial General Intelligence) ซึ่งเป็นปัญญาประดิษฐ์สามารถทำงานเลียนแบบสมองมนุษย์ได้ ไม่ได้เป็นเพียงปัญญาประดิษฐ์ที่ทำงานเฉพาะเจาะจงตามโปรแกรมคำสั่งที่ถูกป้อนให้เท่านั้น
การเกิดขึ้นของ Gen AI และ AGI จะทำให้แรงงานทักษะขั้นสูงมีผลิตภาพ (Productivity) และผลผลิตเพิ่มขึ้นหลากหลายและเติบโตอย่างก้าวกระโดดทำให้เรา สามารถทำงานน้อยลง ได้ผลผลิตมากกว่าเดิม และ Generative AI และ Quantum Computing จะเข้ามาทำงานแทนแรงงานมนุษย์ได้แทบจะทุกสาขาวิชาชีพ รวมทั้งสามารถทำงานในสิ่งที่ศักยภาพของสมองมนุษย์มีขีดจำกัด ไม่สามารถทำได้
การเปลี่ยนผ่านทางเทคโนโลยีอาจนำมาสู่ความเหลื่อมล้ำที่มากขึ้นระหว่างทุนและแรงงาน ระหว่างทุนที่เป็นเจ้าของเทคโนโลยีกับทุนที่ซื้อและใช้เทคโนโลยี ระหว่างประเทศเจ้าของเทคโนโลยีกับประเทศที่ซื้อเทคโนโลยีมาใช้ เทคโนโลยีแพลตฟอร์มดิจิทัลในบางลักษณะได้สร้างพลวัตแบบผูกขาดขึ้นมา มียักษ์ใหญ่ทางด้านเทคโนโลยีไม่กี่บริษัทที่ควบคุมตลาดโลก ทำให้ธุรกิจขนาดกลางขนาดเล็ก หรือบริษัทใหญ่ในประเทศไม่มีอำนาจต่อรองไม่สามารถแข่งขันได้ กลุ่มทุนเจ้าของเทคโนโลยีสามารถสะสมความมั่งคั่งจนล้นเกิน ขณะที่แรงงานเผชิญการถูกแทนที่โดยเทคโนโลยีและค่าจ้างหยุดนิ่ง ส่วนการทำงานของแรงงานแพลตฟอร์มทั้งหลาย อย่าง Grab, Uber อาจมีความยืดหยุ่นในการทำงานสูง แต่งานไม่มีความมั่นคง และไม่มีสวัสดิการและความคุ้มครองทางแรงงานที่ดีนัก ความมั่งคั่งและผลิตภาพที่เพิ่มขึ้นจากเทคโนโลยีจะถูกแบ่งปันอย่างไรให้เป็นธรรมเป็นเรื่องที่สังคมต้องแสวงหาคำตอบร่วมกัน นอกจากนี้อาจเกิดความไม่เท่าเทียมกันระหว่างแรงงานมีทักษะและไม่มีทักษะในการทำงานร่วมกับเทคโนโลยีใหม่ ๆ ทั้งหลายภายใต้เศรษฐกิจแบบดิจิทัลสามารถทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำและการแบ่งขั้วในสังคมเพิ่มขึ้นก็ได้ ลดลงก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่าเราใช้ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเหล่านี้ไปในทางไหนและด้วยการกำกับดูแลทั้งทางนโยบายอย่างไร หรือกลไกตลาดในระบบเศรษฐกิจขับเคลื่อนไปอย่างไร ทุนนิยมโลกาภิวัตน์และการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลมีผลทำให้เกิดการแบ่งขั้วด้านอาชีพมากขึ้น
อัตราการเติบโตของค่าตอบแทนระหว่างผู้บริหารระดับสูงกับอัตราการเติบโตของค่าตอบแทนของคนงานทั่วไปถ่างกว้างมากขึ้นทุกวัน
การแบ่งขั้วทางด้านอุดมการณ์ความคิดและวิถีชีวิตอาจเพิ่มขึ้นหรือลดลงก็ได้ขึ้นอยู่กับมีการใช้เทคโนโลยีไปในทิศทางใด เมื่อเราพูดถึงความเหลื่อมล้ำ เราจำเป็นต้องทำความเข้าใจเรื่องช่องว่างดิจิทัล เนื่องจากช่องว่างดิจิทัลจะทำให้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมย่ำแย่ลง เวลาเราพูดถึง ช่องว่างดิจิทัล เรามักหมายถึงช่องว่างระหว่างกลุ่มที่เข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัลกับกลุ่มที่เข้าไม่ถึง ความแตกต่าง ความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัล การเข้าถึงอินเตอร์เน็ต อุปกรณ์สื่อสารและคอมพิวเตอร์เป็นสิ่งที่สะท้อนความสามารถทางการเงิน ฐานะทางเศรษฐกิจ ทักษะและศักยภาพของบุคคลที่แตกต่างกันอีกด้วย เราจึงเห็นความแตกต่างของการเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัลระหว่างประเทศพัฒนาแล้วกับประเทศด้อยพัฒนา ระหว่างพื้นที่ในเมืองใหญ่กับชนบท ความไม่สามาถเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัลได้ทำให้เป็นอุปสรรคในการประกอบอาชีพ การศึกษา ข้อมูลข่าวสารและโอกาสทางเศรษฐกิจต่าง ๆ ความไม่เท่าเทียมในการเข้าถึง การใช้ และผลกระทบจาก เทคโนโลยีโทรคมนาคมและการสื่อสารของผู้คนตั้งแต่อดีตจนก้าวเข้าสู่ยุคดิจิทัลในระยะต่อมา ทำให้ความไม่เท่าเทียมนี้ถูกเรียกในภายหลังว่าช่องว่างทางดิจิทัล หรือ Digital Divide ซึ่งแปลความให้ง่ายก็คือ ความไม่เท่าเทียมในการเข้าถึงคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต
ความไม่เท่าเทียมจากการเข้าถึงเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตที่ผู้คนทั้งโลกเกิดจากปัจจัยอย่างน้อยที่สุด 3 ประการคือ
ประการที่หนึ่ง เกิดจากช่องว่างในการเข้าถึงการใช้เทคโนโลยี (วัดจากจำนวนและการกระจายตัวของเทคโนโลยี เช่น จำนวนโทรศัพท์
ประการที่สอง เกิดจากช่องว่างจากความสามารถในการใช้เทคโนโลยี (วัดจากทักษะและปัจจัยเสริมอื่นๆ)
ประการที่สาม เกิดจากช่องว่างที่มีผลกระทบต่อการใช้งาน (วัดจากผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ การเงิน หรือการวัดผลด้านอื่น)
ประเทศต่าง ๆ ตระหนักถึงปัญหาของช่องว่างทางดิจิทัลเหล่านี้เป็นอย่างดี และเกือบทุกประเทศได้พยายามแก้ไขเพื่อทำให้ช่องว่างเหล่านี้แคบลง หลายประเทศสามารถลดช่องว่างเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นต้นว่า เกาหลีใต้ สิงคโปร์ ฟินแลนด์ สวีเดน เนเธอร์แลนด์ นอร์เวย์ สวิตเซอร์แลนด์ สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร เดนมาร์ก และญี่ปุ่น
ขณะที่ประเทศอีกจำนวนมากรวมทั้งประเทศไทยเองต่างยังไม่สามารถก้าวข้ามช่องว่างนี้ไปได้ ช่องว่างทางดิจิทัล มีวิวัฒนาการต่อเนื่อง
Artificial General Intelligence (AGI) หรือ General AI (ปัญญาประดิษฐ์ที่พัฒนาให้ใกล้เคียงมนุษย์) และ Generative AI (ปัญญาประดิษฐ์สร้างสรรค์) จะนำไปสู่อุปทานส่วนเกินจำนวนมากของงานสร้างสรรค์ อุปทานแรงงานสร้างสรรค์นำไปสู่การลดลงของอุปสงค์ต่อแรงงานสร้างสรรค์ของมนุษย์อย่างชัดเจนในระยะ 5-10 ปีข้างหน้าและอนาคตต่อไป
ขณะที่กิจการการผลิตหรือบริการที่อาศัยแรงงานมนุษย์จะมีลักษณะคุณค่าในตลาดเฉพาะเจาะจง (Gain Niche Value) ผลิตภาพที่สูงขึ้น ลดระดับราคาของสินค้าจำเป็นทั้งหลาย เปลี่ยนแปลงพลวัตทางเศรษฐกิจ เศรษฐกิจเคลื่อนตัวสู่การเป็น Hyper Capitalism มากขึ้นพร้อมอัตราเงินเฟ้อที่ต่ำ Artificial General Intelligence (AGI) หรือ General AI (ปัญญาประดิษฐ์ที่พัฒนาให้ใกล้เคียงมนุษย์) ทำให้เกิดความจำเป็นในการต้องปฏิรูปและปรับเปลี่ยนระบบประกันสังคม ระบบความมั่นคงและความปลอดภัยของแรงงาน ข้อถกเถียงเรื่องภาษี หุ่นยนต์และ AI เกิดขึ้นในยุโรป สหรัฐอเมริกา เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น
บางประเทศมีการเก็บภาษีเพื่อมาใช้สำหรับสวัสดิการแรงงาน บางประเทศไม่เก็บเพราะเห็นว่าเป็นสิ่งลดแรงงานจูงใจในการพัฒนาความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี หลายประเทศเริ่มคิดถึงระบบ Universal Basic Income เพื่อรองรับแรงงานมนุษย์ส่วนเกิน เพื่อให้สามารถดำรงชีพตามมาตรฐานขั้นต่ำได้ ระบบคุณค่าของสังคมมนุษย์ ความเชื่อศรัทธาต่อศาสนาเปลี่ยนแปลงไปในหลายมิติ มนุษย์ยุค AI ให้คุณค่ากับความร่ำรวยทางด้านวัตถุเงินทองน้อยลง แต่จะให้คุณค่ากับการใช้ชีวิตตามความปรารถนามากขึ้นหลายประเทศเริ่มคิดถึงระบบ Universal Basic Income เพื่อรองรับแรงงานมนุษย์ส่วนเกิน เพื่อให้สามารถดำรงชีพตามมาตรฐานขั้นต่ำได้ นอกจากนี้ การพัฒนาเกี่ยวกับ AI นั้นควรมีการจัดตั้ง National AI