
น.ส.ชยิกา วงศ์นภาจันทร์ ที่ปรึกษาของ รมว.ต่างประเทศ พร้อมด้วย นางลาลีวรรณ กาญจนจารี ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศ ได้นำคณะผู้แทนทางการทูตของสหภาพยุโรป (อียู) ลงพื้นที่โรงพยาบาลพนมดงรัก จ.สุรินทร์ หลังจากนายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.ต่างประเทศได้นำคณะทูตและผู้แทนองค์กรระหว่างประเทศกรอบอนุสัญญาออตตาวาลงพื้นที่ชายแดนจังหวัดศรีสะเกษ เมื่อวันที่ 16 ส.ค.68 และต่อมาอียูได้ประกาศให้ความช่วยเหลือแก่พลเรือนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา เป็นจำนวนเงิน 700,000 ยูโร หรือประมาณ 26.5 ล้านบาท
การนำคณะลงพื้นที่วันนี้เพื่อให้คณะผู้แทนทางการทูตของอียูได้เห็นภาพความเสียหายจริงที่เกิดจากสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาต่อเป้าหมายพลเรือน โดยเฉพาะบ้านเรือนประชาชน เด็ก สตรี และสถานพยาบาล โดยโรงพยาบาลพนมดงรักฯ เป็นโรงพยาบาลที่ได้รับความเสียหายมากที่สุดจากการโจมตีแบบไม่เลือกเป้าหมายของฝ่ายกัมพูชาเมื่อวันที่ 24 ก.ค.68 โดยอาคารโรงพยาบาลหลายส่วนและอุปกรณ์ทางการแพทย์ได้รับความเสียหายและอยู่ในสภาพที่ใช้งานไม่ได้
นอกจากนี้ กระทรวงการต่างประเทศบรรยายสรุปผลกระทบต่อพลเรือนให้คณะผู้แทนทางการทูตของอียูรับฟัง และพบหารือกับหน่วยงานท้องถิ่น เช่น สำนักงานจังหวัด สาธารณสุขจังหวัด ตำรวจภูธรภาค 3 และศูนย์ทุ่นระเบิดฯ รวมทั้งได้มีโอกาสพูดคุยกับประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งคณะผู้แทนทางการทูตของอียูจะใช้ข้อมูลที่ได้จากลงพื้นที่วันนี้ไปจัดทำแนวทางการให้ความช่วยเหลือทางมนุษยธรรม รวมทั้งการเก็บกู้ทุ่นระเบิดให้สอดคล้องกับสภาพการณ์และความต้องการของพื้นที่ต่อไป ซึ่งคณะผู้แทนทางการทูตของอียูให้ความสนใจ มีการพูดคุย สอบถามและซักถาม เจ้าหน้าที่ศูนย์ทุ่นระเบิดฯ อย่างละเอียดราว 3 ชั่วโมง
น.ส.ชยิกา ได้กล่าวขอบคุณคณะผู้แทนทางการทูตของอียูที่ร่วมเดินทางลงพื้นที่ในภารกิจเพื่อมนุษยธรรมครั้งนี้ เพราะในความขัดแย้งและการปะทะระหว่างประเทศใด ๆ ประชาชนผู้บริสุทธิ์ไม่ควรได้รับผลกระทบ การปะทะควรจำกัดอยู่ที่เป้าหมายทางทหารเท่านั้น
ในห้วงหลายเดือนที่ผ่านมา รัฐบาลไทยได้ดำเนินมาตรการเยียวยาให้ทหารและประชาชนผู้สูญเสียคนในครอบครัว บ้านเรือนและผู้ได้รับบาดเจ็บแล้ว อย่างไรก็ดีพวกเราเดินทางมาที่นี่เพื่อที่จะศึกษาเพิ่มเติมว่า ยังมีอะไรที่เราสามารถทำได้เพื่อให้ความช่วยเหลือประชาชนมากขึ้น
"เป็นที่น่าเศร้าว่า นอกจากการโจมตีประชาชน พลเรือน สถานที่ของพลเรือน และโรงพยาบาล อย่างไม่เลือกเป้าหมายด้วยจรวดแล้ว ยังเกิดเหตุการณ์ทหารไทยเหยียบกับระเบิดอีกด้วย" น.ส.ชยิกา กล่าวทั้งนี้ คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (International Committee of the Red Cross: ICRC) เคยหวังว่า ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลจะหมดไปจากโลกในปี ค.ศ.2025 แต่ในวันนี้พวกเรากลับต้องมายืนอยู่ที่นี่เพื่อฟังข้อมูลเกี่ยวกับทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ทั้งทุ่นระเบิดเก่า และทุ่นระเบิดใหม่ที่ถูกฝังใหม่ได้ทำร้ายทหารไทย 5 นาย และเป็นเรื่องน่าเศร้าที่เราจะไม่มีวันรู้เกี่ยวกับทุ่นระเบิดเหล่านี้เลย หากทหารกล้าของไทยไม่เหยียบทุ่นระเบิดเหล่านั้น
"วันนี้เราอาจจะมีทหารที่ได้รับบาดเจ็บเพียง 5 นาย แต่จะเกิดอะไรขึ้น หากในอนาคตอันใกล้ ในวันที่ทหารถอนกำลัง และพี่น้องประชาชนกลับเข้าสู่ชีวิตปกติของพวกเขาจะเกิดอะไรขึ้น หากวันหนึ่งเด็กสักคนหนึ่งได้รับบาดเจ็บจากทุ่นระเบิด เพียงเพราะออกไปเก็บพืชผัก หรือเพียงเพราะออกไปวิ่งเล่นบนผืนแผ่นดินนี้" น.ส.ชยิกา กล่าวก่อนหน้านี้ รมต.ต่างประเทศ เคยกล่าวว่า ไม่สำคัญว่าจะมีประเทศใดร่วมปฏิบัติการเก็บกู้ทุ่นระเบิดกับประเทศไทยหรือไม่ ไม่สำคัญว่าทุ่นระเบิดจะเก่าจากปี ค.ศ.1980 หรือจะใหม่ ประเทศไทยจะไม่รอ และจะเดินหน้าในภารกิจเก็บกู้ทุ่นระเบิดต่อไป เพราะเป็นสิ่งที่ถูกต้องตามหลักมนุษยธรรม ที่เราจำเป็นต้องทำ เพื่อปกป้องพลเรือนผู้บริสุทธิ์ของเรา
"ดังนั้นพวกเราจึงมาที่นี่วันนี้ เพื่อมองไปข้างหน้าสู่กระบวนการเก็บกู้ทุ่นระเบิด และดิฉันหวังว่า ข้อมูลที่ทุกท่านได้รับในวันนี้ จะช่วยให้ข้อมูลเกี่ยวกับแนวทางที่พวกเราจะสามารถทำงานร่วมกันได้ เพื่อให้พื้นที่เหล่านี้ปลอดภัยและปราศจากทุ่นระเบิด เพื่อประโยชน์ของพลเรือนผู้บริสุทธิ์" น.ส.ชยิกา กล่าว