
การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนและผู้ประกอบการ โดยประกาศความพร้อมเต็มพิกัด ที่จะรับมือสถานการณ์น้ำ โดยเฉพาะ 4 นิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่เฝ้าระวังพิเศษ จ.พระนครศรีอยุธยา และ จ.สมุทรปราการ พร้อมเปิดแผนป้องกันระยะยาว ที่ถอดบทเรียนจากมหาอุทกภัยปี 2554 ด้วยงบลงทุนกว่า 1,857 ล้านบาท ย้ำแม้สถานการณ์ปัจจุบันปกติ แต่ไม่ประมาท เตรียมพร้อมทั้งโครงสร้าง และเครื่องมือเต็มกำลัง
"แม้สถานการณ์น้ำในเดือนกันยายน จะอยู่ในภาวะปกติ แต่ กนอ.ไม่ได้นิ่งนอนใจ เรายังคงเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะในพื้นที่ริมแม่น้ำ และเส้นทางน้ำหลาก ประสบการณ์จากปี 2567 ที่แม้หลายพื้นที่จะประสบภัย แต่นิคมอุตสาหกรรมของเรายังคงปลอดภัย สะท้อนประสิทธิภาพของระบบที่เรามี เราพร้อมรับมือทุกสถานการณ์" นายสุเมธ ตั้งประเสริฐ ผู้ว่าการ กนอ. กล่าว

สำหรับนิคมอุตสาหกรรม 4 แห่ง ที่เป็นพื้นที่เฝ้าระวัง ได้แก่ นิคมอุตสาหกรรมนครหลวง, นิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน, นิคมอุตสาหกรรมบ้านหว้า ในพื้นที่ จ.พระนครศรีอยุธยา และนิคมอุตสาหกรรมบางปู จ.สมุทรปราการ โดยทุกแห่งได้จัดเตรียมความพร้อมรับมือในระดับสูงสุด เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้ประกอบการ
โดยความคืบหน้าของระบบป้องกันน้ำท่วมในแต่ละพื้นที่ที่ลงทุนไปแล้ว รวมกว่า 1,857 ล้านบาท
- นิคมอุตสาหกรรมนครหลวง (พระนครศรีอยุธยา) สถานการณ์ปกติ มีเขื่อนป้องกันความยาว 5.5 กม. สูง 8.15 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง (รทก.) ซึ่งสูงกว่าระดับน้ำท่วมสูงสุดในปี 2554 (7.54 เมตร รทก.)

- นิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน (พระนครศรีอยุธยา) สถานการณ์ปกติ มีระบบป้องกันที่ระดับความสูง +6.00 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง (รทก.) สูงกว่าระดับน้ำท่วมปี 2554 (4.28 เมตร รทก.) อย่างชัดเจน
- นิคมอุตสาหกรรมบ้านหว้า (พระนครศรีอยุธยา) สถานการณ์ปกติ มีแนวป้องกันน้ำท่วมยาว 11 กม. ที่ระดับความสูง +5.40 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง (รทก.) ซึ่งสูงกว่าระดับน้ำท่วมในปี 2554 (4.90 เมตร รทก.)
- นิคมอุตสาหกรรมบางปู (สมุทรปราการ) สถานการณ์ปกติ ปัจจุบันก่อสร้างแล้วเสร็จ 53% มีแผนดำเนินให้แล้วเสร็จภายในเดือนเมษายน 2569 โดยจะสามารถสูบระบายน้ำได้ 160,000 ลูกบาศก์/ชั่วโมง

แผนการดำเนินงานดังกล่าวครอบคลุม 4 ด้านสำคัญ ประกอบด้วย
1. ด้านโครงสร้าง การบำรุงรักษาและเสริมความแข็งแกร่งของกำแพงป้องกันอย่างสม่ำเสมอ
2. ด้านเครื่องจักร ที่มีการเตรียมความพร้อมเครื่องสูบน้ำกำลังสูงและระบบสำรองให้ใช้งานได้ทันที
3. ด้านการบูรณาการ โดยการทำงานร่วมกับกรมชลประทานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อติดตามข้อมูลน้ำแบบเรียลไทม์
4. ด้านการเตรียมพร้อม มีการซ้อมแผนเผชิญเหตุฉุกเฉินร่วมกับโรงงาน และมีระบบสื่อสารแจ้งเตือนภัยที่มีประสิทธิภาพ
"บทเรียนจากมหาอุทกภัยปี 2554 ทำให้เราต้องลงทุนเพื่อความมั่นคงในระยะยาว การลงทุนทั้งหมดนี้ ไม่ใช่แค่การป้องกันทรัพย์สิน แต่คือการสร้างความเชื่อมั่นว่า ภาคอุตสาหกรรมไทย จะเติบโตได้อย่างยั่งยืน และประเทศไทยเป็นฐานการลงทุนที่ปลอดภัย และเชื่อถือได้" นายสุเมธ กล่าว