
นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คมนาคม เปิดเผยว่า ขณะนี้ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) อยู่ระหว่างเตรียมประมูลโครงการเช่ารถโดยสารปรับอากาศใช้พลังงานไฟฟ้า (EV) จำนวน 1,520 คัน เพื่อยกระดับคุณภาพการบริการ ลดมลพิษ และสร้างมาตรฐานใหม่ เพื่อนำมาวิ่งทดแทนรถร้อน 1,520 คัน ที่มีอยู่ในปัจจุบัน
โดยตามแผนรถเมล์ EV จำนวน 1,520 คัน จะแบ่งรับมอบเป็น 3 เฟส เริ่มทยอยเข้ามาให้บริการในเดือนก.ย.69 จำนวน 500 คันก่อนครบทั้งหมดใน 180 วัน เมื่อครบทั้งหมด จะปลดรถเมล์ร้อนออกไปทั้งหมด ซึ่งนอกจากช่วยลดมลพิษแล้ว ยังประหยัดต้นทุนรวมกว่า 1,442 ล้านบาท/ปี (ประมาณลดค่าเชื้อเพลิงได้ 70% และลดค่าเหมาซ่อม 1,800 ล้านบาท หายไป 100%)
ส่วนอัตราค่าโดยสารรถปรับอากาศ EV จำนวน 1,520 คันนั้น นายพิพัฒน์ กล่าวว่า รัฐบาลจะมีมาตรการออกมา เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางของระบบขนส่งทั้งหมด ซึ่งจะแจ้งรายละเอียดหลังจากนี้ โดยขอยืนยันว่า ประชาชนจะใช้รถเมล์ร้อนราคา 8 บาทไปจนกว่ารถเมล์ EV จะทยอยเข้ามาครบ และจ่ายราคา 8 บาทต่อไป แต่ได้ใช้รถปรับอากาศ EV เป็นการเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรม และไม่เพิ่มภาระประชาชนแน่นอน
สำหรับรถปรับอากาศในปัจจุบันที่มีอัตราค่าโดยสาร 13-25 บาทนั้น มีแนวคิดที่จะต้องดูแลค่าโดยสาร เพื่อให้ประชาชนจ่ายในราคาเดียวกันด้วย โดยหลังรถเหล่านี้อายุ 20 ปีไปแล้ว ขสมก. ก็จะต้องเปลี่ยนเป็นรถใหม่แบบ EV มาทดแทนต่อไป
"เรื่องนี้ จะทำให้ชัดเจนใน 4 เดือน ตามกรอบเวลารัฐบาล โดยกำหนดเป็นนโยบายและมีวิธีการ ประชาชนได้ประโยชน์แน่นอน ส่วนค่าชดเชยนั้น ก็จะคิดจากการประหยัดค่าเชื้อเพลิง ค่าซ่อมที่ได้นำมาคำนวนได้" นายพิพัฒน์ กล่าวส่วนอัตราค่าโดยสาร 8 บาท หรือแพ็คเกจลดค่าเดินทางนั้น จะครอบคลุมถึงรถโดยสารของเอกชนด้วยหรือไม่ และจะมีการชดเชยอย่างไรนั้น นายพิพัฒน์ กล่าวว่า เรื่องนี้ขอศึกษาโมเดลแพ็คเกจค่าเดินทางให้เสร็จก่อน ส่วนรถโดยสารของเอกชน หากต้องลดค่าโดยสารก็ต้องมีการหารือกับเอกชนด้วย สุดท้ายประชาชนจะได้รับผลประโยชน์ได้บริการที่ดีขึ้นในราคาที่ถูกลง
ปัจจุบัน ขสมก.ยังเก็บค่าโดยสารได้ต่ำกว่าต้นทุน ทำให้มีปัญหาขาดทุนสะสมมาโดยตลอด ซึ่งรัฐบาลมีการสนับสนุนงบชดเชยรายได้รวม 885 ล้านบาท/ปี เพื่อรักษาระดับค่าโดยสาร และพัฒนาระบบเดินรถ ขณะที่ ขสมก. มีนโยบายในการสร้าง "ระบบรถเมล์ไทยยุคใหม่" ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และคุณภาพชีวิตของคนเมือง
ด้านนายกิตติกานต์ จอมดวง จารุวรพลกุล ผู้อำนวยการ ขสมก. กล่าวว่า ปัจจุบัน ขสมก. มีรถโดยสารให้บริการรถรวม 2,883 คัน แบ่งเป็นรถปรับอากาศ จำนวน 1,363 คัน รถโดยสารธรรมดา (รถร้อน) จำนวน 1,520 คัน รองรับผู้โดยสารเฉลี่ย 5-6 แสนคนต่อวัน ขณะที่มีภาระค่าน้ำมันเชื้อเพลิง 2,090 ล้านบาท /ปี ค่าเหมาซ่อม 1,800 ล้านบาท/ปี ค่าบุคลากร 4,400 ล้านบาท/ปี รวมค่าใช้จ่ายกว่า 8,800 ล้านบาท/ปี
ส่วนการเช่ารถโดยสารปรับอากาศ EV จำนวน 1,5620 คันนั้น จะเดินหน้าให้แล้วเสร็จตามแผน โดยอยู่ระหว่างนำร่าง TOR ขึ้นเว็ปไซต์ เพื่อรับฟังคำวิจารณ์ ล่าสุดมีผู้วิจารณ์ในระบบจำนวน 19 ราย ซึ่งกำหนดปิดรับคำวิจารณ์ในวันที่ 26 ก.ย.68 ตามแผนงานจะขายซองประมูล วันที่ 12 พ.ย.68 คาดว่าจะได้ตัวผู้ชนะและลงนามสัญญาเดือนธ.ค.68 และรับมอบรถเฟสแรกเดือนก.ย.69 จำนวน 500 คัน ซึ่งจะทำให้ ขสมก.สามารถพัฒนาระบบบริหารเดินรถด้วยข้อมูลเรียลไทม์ เพื่อลดปัญหารถขาดระยะ และช่วยเพิ่มความตรงต่อเวลา
นอกจากนี้ ขสมก. ได้นำเทคโนโลยีทันสมัยมาช่วยเพิ่มคุณภาพบริการ อาทิ ระบบติดตามรถ (GPS) เชื่อมต่อแอปพลิเคชัน BMTA Bus ให้ประชาชนตรวจสอบเวลารถแบบเรียลไทม์ และระบบชำระค่าโดยสารอิเล็กทรอนิกส์ เพิ่มความสะดวกสบายและความปลอดภัย