
การเปลี่ยนผ่านสู่สังคมคาร์บอนต่ำเป็นเป้าหมายใหญ่ของโลกยุคนี้ เพราะทุกประเทศต่างเผชิญกับความท้าทายเรื่องโลกร้อนและการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เครื่องมือหนึ่งที่เข้ามามีบทบาทสำคัญคือ Renewable Energy Certificate หรือ REC ซึ่งก็คือ "ใบรับรองพลังงานหมุนเวียน" ที่ช่วยให้องค์กรหรือธุรกิจสามารถยืนยันได้ว่าไฟฟ้าที่ตนเองใช้มาจากแหล่งพลังงานสะอาดจริง
REC ไม่ใช่เพียงแค่กระดาษหรือไฟล์ดิจิทัลธรรมดา แต่เป็นเอกสารที่ถูกออกขึ้นมาเพื่อใช้เป็นหลักฐานทางสิ่งแวดล้อม ยืนยันว่ามีการผลิตไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานหมุนเวียนจำนวนหนึ่งเมกะวัตต์-ชั่วโมง และพลังงานนั้นได้ถูกส่งเข้าสู่ระบบสายส่งไฟฟ้าแล้ว เช่น เมื่อโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์หรือโรงไฟฟ้าพลังงานลมผลิตไฟฟ้าและส่งเข้าระบบ จะมีการออก REC จำนวนหนึ่งเท่ากับไฟฟ้าที่ผลิตได้
โดย REC นี้สามารถถูกซื้อขายในตลาดได้ หากบริษัทหรือองค์กรใดต้องการประกาศหรือรายงานว่าตนเองใช้ไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด บริษัทนั้นก็สามารถซื้อ REC มาเป็นหลักฐานได้ แม้ว่าพลังงานที่ใช้อยู่จริง ๆ ในสายส่งจะถูกผสมมาจากหลายแหล่ง แต่การถือครอง REC ก็ทำให้บริษัทมีสิทธิ์อ้างว่าใช้ไฟฟ้าสะอาดตามจำนวนใบรับรองที่มีอยู่
หลายคนอาจสงสัยว่า REC แตกต่างจาก Carbon Credit อย่างไร
ทั้งสองอย่างต่างก็เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมและการลดคาร์บอน แต่ REC มีจุดประสงค์เฉพาะในการยืนยันและชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการใช้ไฟฟ้า หรือที่เรียกว่า Scope 2 เท่านั้น ในขณะที่ Carbon Credit มีขอบเขตกว้างกว่า สามารถใช้ชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ในทุกกิจกรรม (Scope 1, 2, 3) ตั้งแต่การผลิตสินค้า การเผาเชื้อเพลิง การขนส่ง ไปจนถึงการใช้ไฟฟ้าเอง ดังนั้น หากองค์กรต้องการชี้ชัดว่าพลังงานไฟฟ้าที่ใช้มาจากแหล่งหมุนเวียนจริง การซื้อ REC จะตอบโจทย์ แต่ถ้าองค์กรต้องการชดเชยการปล่อยก๊าซจากทุกกระบวนการทั้งหมด จะต้องใช้ Carbon Credit ควบคู่ไปด้วย
REC ยังเป็นส่วนหนึ่งของระบบที่เรียกว่า Energy Attribute Certificate หรือ EAC ซึ่งได้รับการยอมรับในระดับสากล
ปัจจุบันมีหลายมาตรฐานที่ใช้ในแต่ละภูมิภาค เช่น North American REC Tracking Systems ที่ใช้ในสหรัฐและแคนาดา European Energy Certificate System Guarantee of Origin ที่ใช้ในยุโรป International Tracking Standard หรือ I-TRACK ที่แพร่หลายไปหลายประเทศ รวมทั้งประเทศไทย และยังมี Tradable Instruments for Global Renewables ที่เน้นการซื้อขายระหว่างประเทศ
สำหรับประเทศไทยนั้น ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ออกใบรับรอง REC ตามมาตรฐาน I-TRACK ตั้งแต่ปี 2020 ทำให้ใบรับรอง REC ที่ออกในไทยได้รับการยอมรับในเวทีโลกเช่นกัน
การมี REC สร้างประโยชน์มากมายต่อทั้งองค์กรและประเทศ องค์กรสามารถนำไปใช้เป็นหลักฐานในการจัดทำรายงานความยั่งยืนหรือ Sustainability Report และยังใช้ตอบโจทย์การเข้าร่วมโครงการสากล เช่น RE100 ที่กำหนดให้บริษัทต้องใช้พลังงานหมุนเวียนทั้งหมด
นอกจากนี้ การมี REC ยังช่วยให้องค์กรเข้าถึงเงินทุนหมุนเวียนและเครื่องมือทางการเงินสีเขียวได้ง่ายขึ้น เช่น สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ หรือพันธบัตรที่เชื่อมโยงกับความยั่งยืน อีกทั้งยังช่วยลดต้นทุน เพราะองค์กรไม่จำเป็นต้องลงทุนสร้างโรงไฟฟ้าเอง แต่ก็ยังสามารถยืนยันได้ว่าตนเองใช้พลังงานหมุนเวียน ในระดับประเทศ ตลาดซื้อขาย REC ยังช่วยสร้างรายได้เสริมให้กับผู้ผลิตพลังงานสะอาด และกระตุ้นให้เกิดการลงทุนในโครงการใหม่ ๆ ซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญในการเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนในระบบไฟฟ้า
ในประเทศไทย REC ภายใต้มาตรฐาน I-TRACK เริ่มใช้อย่างเป็นทางการตั้งแต่ปี 2020 โดยมีการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เป็นผู้ออกใบรับรอง ทั้งนี้ องค์กรขนาดใหญ่หลายแห่ง โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมและนิคมอุตสาหกรรม เริ่มใช้ REC เพื่อรายงานความยั่งยืนและตอบโจทย์นักลงทุนต่างชาติ ปัจจุบันตลาดโลกเริ่มมีการประเมินราคา REC ไทยอย่างโปร่งใสผ่านองค์กรระดับสากล เช่น S&P Global ซึ่งจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้ซื้อและผู้ลงทุนมากขึ้น
กล่าวโดยสรุป REC คือกลไกที่ทำให้การเปลี่ยนผ่านไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำจับต้องได้มากขึ้น มันไม่เพียงแต่ช่วยให้องค์กรแสดงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและตอบสนองต่อแรงกดดันจากผู้บริโภคและนักลงทุน แต่ยังช่วยสร้างแรงจูงใจให้มีการลงทุนในพลังงานสะอาดอย่างต่อเนื่อง เมื่อมีการออกแบบระบบที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ และเป็นที่ยอมรับในสากล REC ก็จะเป็นเครื่องมือสำคัญที่ทำให้ประเทศไทยและโลกก้าวไปสู่อนาคตที่สะอาดและยั่งยืน
ดุษดี ดุษฎีพาณิชย์
ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายการค้า การลงทุน และอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ