
นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอำนวยการและบริหารสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติ (คอภ.) ครั้งแรก เพื่อติดตามสถานการณ์อุทกภัย การประเมินแนวโน้มสถานการณ์ และการหารือแนวทางการบริหารจัดการน้ำ รวมถึงการพิจารณาแนวทางการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัยให้ดำเนินไปอย่างเป็นระบบ และบูรณาการทุกภาคส่วนอย่างมีประสิทธิภาพ
นายอนุทิน กล่าวว่า ปัจจุบันได้เกิดสถานการณ์อุทกภัย วาตภัย และดินโคนถล่ม ในหลายพื้นที่หลายจังหวัด ก่อให้เกิดความเสียหายเป็นจำนวนมากแก่ทรัพย์สิน และชีวิตของประชาชน ประกอบกับเป็นช่วงที่ประเทศไทยยังคงได้รับอิทธิพลจากพายุ "แมตโม" อาจมีฝนตกหนักและฝนตกสะสม ก่อให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก และน้ำล้นตลิ่งในหลายพื้นที่

ทั้งนี้ รัฐบาลห่วงใยสถานการณ์อุทกภัยและดินถล่มที่เกิดขึ้น ซึ่งคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้กระจายกันลงพื้นที่ในจังหวัดต่าง ๆ เพื่อตรวจติดตามสถานการณ์การให้ความช่วยเหลือ และให้กำลังใจผู้ประสบภัย พร้อมสั่งการทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งให้ความช่วยเหลือและเยียวยาผู้ประสบภัยโดยเร็ว
ในส่วนเรื่องการเยียวยาช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ใช้หลักการเดียวกันกับปีที่แล้ว ซึ่งหากได้รับผลกระทบเกิน 7 วันจะได้รับเงินเยียวยาครัวเรือนละ 9,000 บาท ซึ่งจะดำเนินการทันที โดยได้สั่งการกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณะภัย (ปภ.) ไปเร่งดำเนินการขึ้นทะเบียนชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบ
ด้าน นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เปิดเผยว่า ในระยะนี้ประเทศไทยยังคงต้องเฝ้าระวังสถานการณ์ฝนอย่างใกล้ชิด เนื่องจากกรมอุตุนิยมวิทยาและสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) (สสน.) คาดการณ์ว่า พายุ "แมตโม" จะส่งผลกระทบทางอ้อมทำให้ในช่วงวันที่ 6-8 ต.ค.นี้ ประเทศไทยจะมีฝนตกปานกลางถึงหนักในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออก ประกอบกับในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมามีฝนตกมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ จึงต้องปรับแผนการระบายน้ำของเขื่อนที่มีน้ำมาก เพื่อรักษาความมั่นคงของเขื่อน โดยทยอยปรับเพิ่มการระบายน้ำเขื่อนสิริกิติ์ เป็น 35 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) ต่อวัน ขณะที่เขื่อนภูมิพลยังคงการระบายน้ำในอัตรา 5 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน
อย่างไรก็ตาม เพื่อให้สามารถบริหารจัดการน้ำได้อย่างยืดหยุ่นต่อสถานการณ์ในช่วงเร่งด่วน ที่ประชุมจึงมีมติเห็นชอบให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ประสานกรมชลประทานปรับการระบายน้ำให้สอดคล้องกับสถานการณ์ โดยระบายน้ำรวมอยู่ในห้วง 40-50 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน และให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เตรียมความพร้อมในพื้นที่เสี่ยงได้รับผลกระทบ หากต้องระบายน้ำเพิ่มขึ้น
ขณะเดียวกันเนื่องจากในช่วงนี้ปริมาณน้ำจากพื้นที่ตอนบนมีแนวโน้มลดลง กรมชลประทานจึงเตรียมปรับลดการระบายน้ำเขื่อนเจ้าพระยาจาก 2,500 ลบ.ม. ต่อวินาที เป็น 2,400 ลบ.ม.ต่อวินาที ซึ่งจะช่วยให้ระดับน้ำในพื้นที่ท้ายเขื่อนลดลงประมาณ 20-25 เซนติเมตร
ในส่วนการเตรียมการบริหารจัดการน้ำช่วงฝนตกหนัก จะดำเนินการอย่างเต็มศักยภาพเพื่อควบคุมการระบายน้ำของเขื่อนเจ้าพระยา ให้อยู่ในอัตราไม่เกิน 2,500 ลบ.ม. ต่อวินาที และมีระดับน้ำหน้าเขื่อนไม่เกิน +17 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง พร้อมทั้งระบายน้ำไปทางฝั่งตะวันออกและตะวันตกของเขื่อนเพิ่มมากขึ้นในอัตราเหมาะสมที่พื้นที่สามารถรองรับได้
ทั้งนี้ สทนช. ยืนยันว่าสถานการณ์ในปีนี้จะไม่รุนแรงเหมือนปี 2554 อย่างแน่นอน เนื่องจากปี 2554 ประเทศไทยได้รับอิทธิพลจากพายุทั้งโดยตรงและทางอ้อม และอยู่ภายใต้สภาวะลานีญา ทำให้ปริมาณฝนเฉลี่ยทั้งปีสูงกว่าค่าปกติถึงร้อยละ 24 และขณะนั้น 4 เขื่อนหลักลุ่มน้ำเจ้าพระยา ได้แก่ เขื่อนภูมิพล สิริกิติ์ แควน้อยบำรุงแดน และป่าสักชลสิทธิ์ รองรับน้ำได้เพียง 324 ล้าน ลบ.ม. และมีน้ำไหลผ่านสถานี C.2 จังหวัดนครสวรรค์ สูงสุด 4,689 ลบ.ม. ต่อวินาที ขณะที่การระบายน้ำจากเขื่อนเจ้าพระยาสูงสุดถึง 3,726 ลบ.ม.ต่อวินาที นำไปสู่อุทกภัยครั้งใหญ่ในหลายพื้นที่
ขณะที่ในปี 2568 แม้จะมีพายุหลายลูก แต่ทั้งหมดส่งผลทางอ้อมและมีทิศทางที่กระทบต่อไทยน้อยกว่า อีกทั้งยังอยู่ภายใต้สภาวะเป็นกลางถึงสภาวะลานีญากำลังอ่อน ทำให้มีฝนโดยรวมไม่มากนัก
โดยปัจจุบันปริมาณฝนเฉลี่ยสูงกว่าค่าปกติ 7% รวมถึง 4 เขื่อนหลักยังรองรับน้ำได้อีก 2,185 ล้าน ลบ.ม. และมีน้ำไหลผ่านสถานี C.2 ที่ 2,748 ลบ.ม. ต่อวินาที ระบายน้ำเขื่อนเจ้าพระยา 2,500 ลบ.ม. ต่อวินาที แม้จะมีแนวโน้มเกิดน้ำหลากเฉพาะพื้นที่จากฝนตกหนัก แต่ทุกหน่วยงานได้บูรณาการการบริหารจัดการน้ำอย่างเต็มที่เพื่อลดผลกระทบต่อประชาชนให้ได้มากที่สุด