นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ในฐานะผู้บัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ ได้สั่งการผู้ว่าราชการจังหวัดในพื้นที่ 14 จังหวัดภาคใต้ รวมทั้งเพชรบุรี และประจวบคีรีขันธ์ เตรียมความพร้อมรับสถานการณ์อุทกภัย และคลื่นลมแรงในพื้นที่ภาคใต้
ซึ่งจากการติดตามการคาดหมายลักษณะอากาศ ของกรมอุตุนิยมวิทยา พบว่า ในช่วงกลางเดือนตุลาคม 68 เป็นต้นไป บริเวณภาคใต้จะได้รับอิทธิพลของมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ และร่องมรสุมจะเลื่อนลงไปพาดผ่านบริเวณภาคกลางตอนล่าง ภาคตะวันออก และภาคใต้ตอนบน รวมถึงอาจมีพายุหมุนเขตร้อน เคลื่อนตัวเข้ามาใกล้หรือเคลื่อนเข้าสู่ประเทศไทย บริเวณภาคตะวันออก และต่อเนื่องลงมาจนถึงอ่าวไทยตอนบน และภาคใต้ ส่งผลให้อาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก และน้ำล้นตลิ่งในหลายพื้นที่
ทั้งนี้ นายกฯ ได้กำชับผู้ว่าราชการจังหวัดทั้ง 16 จังหวัด ในฐานะผู้อำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด ดำเนินการ 5 ด้าน ได้แก่
1. เฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์ สภาพอากากาศ ปริมาณฝน สถานการณ์น้ำท่า น้ำในอ่างเก็บน้ำ และประเมินความเสี่ยงอุทกภัย คลื่นลมแรง ดินสไลด์ในพื้นที่เสี่ยงภัย โดยเฉพาะพื้นที่เขตชุมชน เขตเศรษฐกิจของจังหวัด ริมแม่น้ำ พื้นที่ติดชายทะเล พื้นที่ท้ายเขื่อน อ่างเก็บน้ำที่มีปริมาณน้ำมาก และพื้นที่เชิงเขา เพื่อกำหนดมาตรการและวางแผนเผชิญเหตุ ที่สอดคล้องกับสภาพภูมิสังคมและความเสี่ยงภัยในพื้นที่
2. ด้านการแจ้งเตือนภัย โดยเพิ่มประสิทธิภาพ "การแจ้งเตือนภัยล่วงหน้าในทุกช่องทาง" ทั้งหอกระจายข่าวประจำหมู่บ้าน วิทยุชุมชน สื่อสังคมออนไลน์ เครือข่ายอาสาสมัคร อปพร. กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้บริหาร อปท. เพื่อประชาชนพื้นที่เสี่ยงได้รับทราบและเตรียมพร้อมรับมือได้ทันต่อสถานการณ์
3. เตรียมความพร้อมรับสถานการณ์ในพื้นที่เสี่ยงภัย โดยกรณี "พื้นที่เขตชุมชน พื้นที่เขตเศรษฐกิจ" เส้นทางคมนาคมที่มักพบปัญหาน้ำท่วมขังเป็นประจำ ให้ทำการป้องกันและแก้ไขปัญหาไว้ล่วงหน้า ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ โดยขุดลอกท่อระบายน้ำ ทำความสะอาดร่องน้ำ กำจัดสิ่งกีดขวางทางน้ำ วัชพืชในคู คลอง แหล่งน้ำต่าง ๆ โดยเฉพาะเส้นทางระบายน้ำลงสู่แม่น้ำหลัก และจัดทำแนว/คันกั้นน้ำ พร้อมวางแผนการติดตั้งเครื่องจักรกลสาธารณภัยไปประจำไว้ในพื้นที่เสียงภัย เป็นการล่วงหน้าเพื่อให้การช่วยเหลือเป็นไปอย่างรวดเร็ว
สำหรับ "พื้นที่ติดชายฝั่งทะเล" ที่มีความเสี่ยงอาจได้รับผลกระทบจากคลื่นลมแรง คลื่นชัดชายฝั่ง ให้ประสานการปฏิบัติร่วมกับหน่วยงานของกรมเจ้าท่า กองทัพเรือ ตำรวจน้ำในพื้นที่ ดูแลความปลอดภัยการเดินเรือ การนำเรือเข้าที่กำบัง และห้ามการเดินเรือในช่วงที่มีคลื่นลื่นลมแรง โดยหากมีการฝ่าฝืนให้ดำเนินการทางกฎหมายในทุกกรณี
รวมทั้งกำชับให้ผู้ประกอบการ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้บริหาร อปท. สื่อสารแจ้งเตือนนักท่องเที่ยว และประชาชนที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยง ให้ทราบเพื่อลดความเสี่ยงอันตราย และห้ามทำกิจกรรมทางน้ำในช่วงคลื่นลมแรงเด็ดขาด และ "สถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติ" อาทิ อุทยานแห่งชาติ บริเวณน้ำตก ถ้ำ ถ้ำลอด เกาะแก่งต่าง ๆ ให้ประสานหน่วยงานที่รับผิดชอบเฝ้าระวัง แจ้งเตือน ปิดกั้นพื้นที่ ห้ามนักท่องเที่ยวหรือบุคคลใดเข้าพื้นที่ที่กำหนด และกำหนดแนวปฏิบัติการช่วยเหลือนักท่องเที่ยวที่อาจจะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์
4. หากเกิดเหตุให้ดำเนินการตามแผนเผชิญเหตุ โดยจัดทีมปฏิบัติการจากหน่วยงานฝ่ายพลเรือน หน่วยทหาร ตำรวจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มูลนิธิ องค์กรสาธารณกุศล และอาสาสมัคร เข้าให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย กลุ่มเปราะบาง อย่างเป็นระบบ และเคลื่อนย้ายทรัพย์สินไปยังพื้นที่ปลอดภัย พร้อมทั้งดูแลด้านการดำรงชีพ ปัจจัย 4 จัดหน่วยบริการด้านการแพทย์และสาธารณสุข อำนวยความปลอดภัยด้านการจราจร และเร่งระบายน้ำออกจากพื้นที่เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนและทำให้ประชาชนได้รับผลกระทบน้อยที่สุด
5. เมื่อสถานการณ์คลี่คลายแล้ว ต้องเร่งสำรวจความเสียหายที่เกิดขึ้นให้ครบถ้วนทุกด้าน อาทิ ด้านชีวิต ด้านที่อยู่อาศัย พื้นที่การเกษตร สิ่งสาธารณประโยชน์ สิ่งสาธารณูปโภค และช่วยเหลือ เยียวยา ฟื้นฟูบูรณะพื้นที่ประสบภัย ตามระเบียบและหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องโดยเร็ว โดยให้รายงานผลการปฏิบัติมายังกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ผ่านกองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกลาง จนกว่าสถานการณ์จะเข้าสู่ภาวะปกติ