
นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติรับทราบและเห็นชอบตามข้อวินิจฉัยของ ผู้ตรวจการแผ่นดิน (ผผ.) ในกรณีที่กรมสรรพสามิตไม่ออกใบอนุญาตผลิตสุราแช่ชนิดเบียร์ให้กับผู้ประกอบการรายหนึ่ง พร้อมมีมติสั่งการให้กรมสรรพสามิตเร่งปรับปรุงกฎระเบียบเพื่อ ยุติการผูกขาด และเปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถเข้าถึงธุรกิจผลิตเบียร์ได้ง่ายขึ้น
โดยให้กระทรวงการคลัง เป็นหน่วยงานหลักรับเรื่องนี้ไปพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ได้ข้อยุติ และให้กระทรวงการคลังสรุปผลการพิจารณา/ผลการดำเนินการ/ความเห็นในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) ภายใน 30 วันนับจากวันที่ได้รับแจ้งจาก สลค. เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ผู้ตรวจการแผ่นดิน (ผผ.) รายงานว่า บริษัทเอกชน (ผู้ร้องเรียน) ซึ่งเป็นผู้ได้รับใบอนุญาตจากกรมสรรพสามิต ให้ประกอบกิจการโรงงานอุตสาหกรรมสุราแช่ชนิดเบียร์ ประเภทผลิตและจำหน่าย ตั้งแต่วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2554 ณ สถานที่ผลิตที่ได้รับอนุญาต โดยมีการกำหนดขอบเขตการผลิตไว้ที่ 100,000 - 1,000,000 ลิตร/ปี และมีเงื่อนไขไม่ให้ดำเนินการบรรจุภาชนะ หรือจำหน่ายสุราภายนอกสถานที่ผลิต
ต่อมากระทรวงการคลัง ได้ออกกฎกระทรวงการผลิตสุรา พ.ศ. 2565 กำหนดให้โรงงานที่มีลักษณะเหมือนกับโรงงานของผู้ร้องเรียนอยู่ภายใต้กฎกระทรวงฯ ข้อ 16 (1)(ก) [ผลิตและจำหน่าย ณ สถานที่ผลิต (ไม่บรรจุภาชนะที่ติดเครื่องหมายเสียภาษี)] ซึ่งผู้ร้องเรียนเห็นว่า ตนมีคุณสมบัติและเงื่อนไขตามที่กำหนดไว้ในข้อ 16 (1)(ข) [ผลิตและจำหน่ายนอกสถานที่ผลิต (บรรจุภาชนะที่ติดเครื่องหมายเสียภาษี)] ของกฎกระทรวงดังกล่าว จึงได้ยื่นคำขอรับใบอนุญาตผลิตสุราแช่ชนิดเบียร์ พร้อมทั้งแสดงหนังสือตอบข้อหารือจากสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) ว่า โรงงานของผู้ร้องเรียน มีกำลังการผลิตเพียง 210,000 ลิตร/ปี และไม่อยู่ในข่ายกิจการที่ต้องจัดทำรายงาน EIA ตามที่บัญญัติไว้ในกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ
อย่างไรก็ตาม กรมสรรพสามิต มีคำสั่งไม่อนุญาตตามคำขอดังกล่าว โดยให้เหตุผลว่าผู้ขออนุญาตต้องจัดทำ และได้รับความเห็นชอบในรายงาน EIA อย่างเป็นทางการ และหนังสือหารือจาก สผ. ไม่ถือเป็นรายงาน EIA ตามที่กฎหมายกำหนด กรมสรรพสามิตจึงเห็นว่า คำขอรับใบอนุญาตไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวงดังกล่าว จึงมีคำสั่งไม่อนุญาต
และเมื่อคำอุทธรณ์ของผู้ร้องเรียนไม่ปรากฏพฤติการณ์อันจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม ทางกระทรวงการคลัง จึงวินิจฉัยยกอุทธรณ์ของผู้ร้องเรียน ต่อมา ผู้ร้องเรียนจึงยื่นเรื่องร้องเรียนกระทรวงการคลัง และกรมสรรพสามิต กรณีไม่พิจารณาออกใบอนุญาตผลิตสุราแช่ชนิดเบียร์ให้แก่ผู้ร้องเรียนเนื่องจากไม่มีรายงาน EIA
ทั้งนี้ ผู้ตรวจการแผ่นดิน ได้แสวงหาข้อเท็จจริง โดยการลงพื้นที่และประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งกรมสรรพสามิต สผ. และ ผู้ตรวจการแผ่นดิน ได้พิจารณาแล้วมีความเห็นร่วมกันว่า ข้อกำหนดตามข้อ 16 (1) (ข) แห่งกฎกระทรวงฯ ออกตาม พ.ร.บ.กรมสรรพสามิต พ.ศ. 2560 มีลักษณะที่ทำให้ผู้ประกอบการกิจการผลิตสุราแช่ชนิดเบียร์ ขนาดกลางและขนาดเล็ก ไม่สามารถได้รับใบอนุญาตผลิตสุราแช่เบียร์ได้ จึงควรปรับปรุงแก้ไขกฎกระทรวงดังกล่าว เพื่อเป็นการส่งเสริมอุตสาหกรรมการผลิตเบียร์ของไทยให้มีความเข้มแข็ง มีมาตรฐานที่ดี ลดอุปสรรคและภาระแก่ผู้ผลิตเบียร์ภายในประเทศ โดยคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้บริโภค และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์เบียร์ให้มีความหลากหลายและมีราคาที่เป็นธรรมสำหรับผู้บริโภค
โดยอาจกำหนดเงื่อนไขในการขออนุญาตและมาตรการควบคุม กำกับ และดูแลการประกอบกิจการที่แตกต่างกันตามขนาดการผลิต ดังนั้น ผผ. จึงเสนอ ครม. รับทราบ พร้อมทั้งมีข้อเสนอแนะ เช่น
1. ให้มีการพิจารณาทบทวนแนวทางการพิจารณากฎกระทรวงการผลิตสุรา พ.ศ. 2565 ให้สอดคล้องกับ พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 มาตรา 153 โดยไม่กำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่อาจเป็นการเลือกปฏิบัติ หรือผูกขาดทางเศรษฐกิจ โดยไม่เป็นธรรมหรือสร้างภาระเกินสมควร
2. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดทำมาตรการสนับสนุนประชาชนฐานรากให้เข้าถึงแหล่งทุน และตลาดอย่างเป็นธรรม เพื่อส่งเสริมวิสาหกิจชุมชนเบียร์
3. ให้รัฐบาลแต่งตั้งคณะทำงานร่วม เพื่อบูรณาการความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เพื่อกำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาที่ชัดเจน โปร่งใส และเป็นธรรม
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ชี้แจงว่า การกำหนดขอบเขตการผลิตไว้ระหว่าง 100,000 - 1,000,000 ลิตร/ปี ถึงจะบรรจุกระป๋องได้ ก็เป็นปัญหาของผู้ผลิตรายเล็ก และมีแต่ผู้ผลิตรายใหญ่ที่ทำได้ ดังนั้นจึงจะเปิดโอกาสให้รายเล็กทำได้ แต่ก็จะมีเกณฑ์ในการควบคุมคุณภาพเพื่อผู้บริโภค แต่จะไม่ล็อกด้วยปริมาณการผลิต
"ทางครม. รับข้อเสนอจากผู้ตรวจการแผ่นดิน ที่ได้รับเรื่องร้องเรียนมา และเห็นว่ากรมสรรพสามิต จำเป็นต้องปรับปรุงประกาศของตัวเอง เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการรายย่อยสามารถทำได้ ซึ่งเรื่องนี้ ต้องไม่ได้กำหนดกรอบเวลา แต่ครม.เห็นชอบให้กระทรวงการคลังไปเร่งรัด" นายสิริพงศ์ กล่าว