
พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กล่าวภายหลังเรียกประชุมด่วน เพื่อกำชับแนวทางป้องกันและปราบปราม "แก๊งสแกมเมอร์" และ "คอลเซ็นเตอร์ข้ามชาติ" หลังรัฐบาลของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ยกระดับขึ้นเป็นวาระแห่งชาติ
ผบ.ตร. ระบุว่า ได้เรียก พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร. ในฐานะหัวหน้าศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และ พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีลาบุตร รอง ผบ.ตร.ในฐานะผอ.ศูนย์ปราบปรามการค้ามนุษย์ ตลอดจนหน่วยที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม เพื่อวางมาตรการร่วมกัน โดยเน้นย้ำให้เดินตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีอย่างเข้มข้น ทั้งในด้านการป้องกัน และการปราบปราม
โดยที่ผ่านมา สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง โดยมีการประสานความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านหลายแห่ง เพื่อติดตามข้อมูลเกี่ยวกับฐานปฏิบัติการของแก๊งสแกมเมอร์ โดยเฉพาะในกัมพูชา ซึ่งแม้จะได้รับความร่วมมือน้อยมาก แต่ตำรวจก็ไม่ลดละความพยายาม
ซึ่งแนวคิดที่เราทำในการปฏิบัติตามนโยบาย และข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี คือ การเร่งรัดกำหนดมาตรการที่จะเข้มข้นในการป้องกันหรือ "วัคซีนไซเบอร์" ให้มากขึ้น เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้กับประชาชน ควบคู่ไปกับการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง
"ตั้งแต่เดือนมี.ค.-พ.ค.ที่ผ่านมา เราได้รับตัวผู้ต้องหา กลับมาดำเนินคดีในประเทศไทยแล้ว 3 รอบ รวมกว่า 219 คน ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาในชั้นศาล โดยตำรวจไซเบอร์ เป็นหน่วยรับผิดชอบหลัก" ผบ.ตร. กล่าวพร้อมกันนี้ ยังได้ยกระดับศูนย์ปฏิบัติการและวอร์รูม ในสมัยที่ พล.ต.อ.ธัชชัย เคยดำเนินการไว้ ให้เป็นศูนย์ประสานความร่วมมือข้ามหน่วยงาน เพื่อรับมือปัญหาคอลเซ็นเตอร์ และการค้ามนุษย์อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
- ชงถอนสัญชาติเครือข่าย "ก๊กอาน"
ส่วนที่สังคมตั้งคำถามถึงการปราบปรามของไทย ไม่เข้มข้นเท่าเกาหลีใต้นั้น ผบ.ตร. กล่าวว่า ในความจริงแล้ว ไทยทำมากกว่าหลายประเทศด้วยซ้ำ เพียงแต่ความร่วมมือจากเพื่อนบ้านบางประเทศ โดยเฉพาะกัมพูชายังมีข้อจำกัด แต่เราก็ยังเดินหน้ากดดัน และขอร่วมปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง ซึ่งก็เริ่มเห็นผลแล้ว
โดยขณะนี้ อยู่ระหว่างเสนอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พิจารณาถอนสัญชาติผู้เกี่ยวข้องกับเครือข่าย "ก๊กอาน" ซึ่งบางรายได้รับสัญชาติไทยไปก่อนหน้านี้ และมีการออกหมายจับ และหมายแดงตามกระบวนการสากลแล้ว
สำหรับกระแสข่าวว่า "นักการเมืองไทย 7 ราย" มีส่วนเกี่ยวข้องกับเครือข่ายแก๊งสแกมเมอร์ในกัมพูชานั้น พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวว่า ขณะนี้ยังเป็นเพียงข้อมูลข่าวสารที่เผยแพร่ผ่านสื่อ ยังไม่มีการร้องทุกข์ หรือพยานหลักฐานเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม แต่ยืนยันว่า ตำรวจพร้อมดำเนินการตามกฎหมายอย่างตรงไปตรงมา อย่างไม่ละเว้นแน่นอน
"การขับเคลื่อนครั้งนี้ ถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญ ที่จะทำให้นานาชาติเห็นความจริง และร่วมมือกันอย่างจริงจังในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ ที่ส่งผลกระทบต่อคนทั่วโลก ถือเป็นนิมิตหมายที่ดีของความร่วมมือระดับภูมิภาค ในการต่อสู้กับอาชญากรรมยุคใหม่" ผบ.ตร. ระบุ