นายกฯ ยันลงนามในปฎิญญาไทย-กัมพูชาไม่ทำให้ประเทศเสียเปรียบ

ข่าวทั่วไป Sunday October 26, 2025 09:03 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายกฯ ยันลงนามในปฎิญญาไทย-กัมพูชาไม่ทำให้ประเทศเสียเปรียบ

นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย ไลฟ์เฟซบุ๊คก่อนเข้าร่วมพิธีเปิดการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 47 และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย โดยยืนยันการลงนามในปฏิญญาหาแนวทางการเจรจาและปฏิบัติเพื่อนำไปสู่สันติภาพของไทย-กัมพูชาจะไม่ทำให้ประเทศไทยเสียเปรียบตามที่หลายฝ่ายเป็นกังวล ซึ่งผ่านการรับรองจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) แล้ว และไม่ใช่สนธิสัญญาที่ต้องไปขอความเห็นชอบจากรัฐสภา โดยการปฏิบัติตามปฏิญญานั้นทางกัมพูชาจะต้องเริ่มดำเนินการก่อนแล้วจึงมาประเมินเพื่อดำเนินการต่อไปให้เกิดสันติภาพของสองประเทศ

โดยปฎิญญาดังกล่าวกำหนดให้กัมพูชาดำเนินการใน 4 เรื่อง คือ

1.การถอนอาวุธหนักออกจากแนวชายแดน

2.การเก็บกู้วัตถุระเบิด

3.การร่วมมือปราบปรามอาญชากรรมทางเทคโนโลยี

4.การแก้ปัญหาการรุกล้ำพื้นที่เขตแดน

"ยังไม่มีนะครับที่เราจะเปิดด่าน ยอมเสียดินแดน เดี๋ยวจะสร้างรั้ว ใช้แผนที่ 1 ต่อ 200,000 ซึ่งประเทศไทยยังไม่อยู่ในเงื่อนไขเหล่านี้เลย...ไม่ใช่สัญญาสงบศึก ไม่ใช่ Peace Agreement เป็น Joint Declaration หรือแนวทางที่จะนำไปสู่การสร้างสันติภาพ" นายอนุทิน กล่าว

นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า เราไม่ต้องการที่จะเป็นศัตรูกับใคร โดยทั้งกองทัพและกระทรวงการต่างประเทศทำงานอย่างหนักในเรื่องนี้มาระยะหนึ่งแล้วเพื่อให้กัมพูชาขอมรับเงื่อนไข ดังนั้นจึงขอให้ประชาชนเกิดความมั่นใจ ยังไม่เห็นจุดใดที่ประเทศไทยจะเสียเปรียบ ตนคำนึงถึงความปลอดภัยของประชาชน การรักษาเกียรติภูมิ การรักษาอธิปไตย การรักษาดินแดน และเมื่อมีการเจรจาเรื่องการปักปันเขตแดนก็จะนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้งาน

ก่อนหน้านี้ นายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์ว่าได้รับสัญญาณเชิงบวกจากฝ่ายกัมพูชาว่า เมื่อมีการลงนามแล้วทางฝ่ายกัมพูชาจะเริ่มดำเนินการตามเงื่อนไข 2 ข้อแรก โดยไทยจะเร่งดำเนินการในส่วนของไทยเช่นเดียวกัน เมื่อมั่นใจว่าต่างฝ่ายต่างปฏิบัติตามข้อผูกพันแล้ว ไทยก็จะส่งคืนเชลยศึก 18 คน โดยก่อนส่งคืนจะมีการตรวจสุขภาพ เพื่อเป็นเครื่องยืนยันว่าไทยปฏิบัติตามอนุสัญญาเจนีวา หลังจากนั้นจึงมาหาแนวปฏิบัติต่อกันเพื่อให้ความเป็นภัยต่อกันลดน้อยลง

ขณะที่ นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในช่วงเช้าวันนี้เวลา 08.30 น.นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย จะเข้าร่วมพิธีเปิดการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 47 และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย ซึ่งขับเคลื่อนแนวคิดหลัก "Inclusivity and Sustainability" ของการเป็นประธานอาเซียนของมาเลเซีย พร้อมทั้งเข้าร่วมพิธีมอบรางวัลอาเซียน (ASEAN Prize) ก่อนร่วมลงนามเอกสารเพื่อรับติมอร์-เลสเตเป็นสมาชิกอาเซียนอย่างเป็นทางการ ณ Exhibition Hall ชั้น G ศูนย์ประชุม Kuala Lumpur Convention Centre (KLCC)

จากนั้นเวลา 09.45 น.นายกรัฐมนตรีมีกำหนดการพบหารือทวิภาคีกับนายอันโตนิอู กุแตเรช (H.E. Mr.António Guterres) เลขาธิการสหประชาชาติ และพบหารือทวิภาคีกับนายแฟร์ดีนันด์ โรมูอัลเดซ มาร์โคส จูเนียร์ (H.E. Mr.Ferdinand Romualdez Marcos Jr.) ประธานาธิบดีสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ ในเวลา 10.20 น.ตามลำดับ หลังจากนั้นเวลา 11.00 น. นายกรัฐมนตรีจะเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 47 แบบเต็มคณะ (Plenary) และเป็นสักขีพยานในพิธีส่งมอบพิธีสารแก้ไขความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน (ATIGA) ฉบับที่ 2 ซึ่งสะท้อนถึงการขับเคลื่อนตลาดการค้าเสรีในภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง

เวลาประมาณ 12.00 น. นายกรัฐมนตรีมีกำหนดการหารือทวิภาคีกับนายโดนัลด์ เจ ทรัมป์ (The Honorable Donald J. Trump) ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา ซึ่งจะเป็นโอกาสในการผลักดันประเด็นความร่วมมือที่สำคัญ โดยเฉพาะด้านการค้า และความมั่นคง รวมถึงการปราบปรามสแกมเมอร์ โดยหลังหารือเสร็จสิ้น นายกรัฐมนตรีจะเข้าร่วมลงนามถ้อยแถลงผลการพบหารือระหว่างนายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรไทยและนายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรกัมพูชา ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย (Joint Declaration by the Prime Minister of the Kingdom of Cambodia and the Prime Minister of the Kingdom of Thailand on the outcomes of their meeting in Kuala Lumpur, Malaysia) โดยมีนายกรัฐมนตรีมาเลเซียและประธานาธิบดีสหรัฐอเมริการ่วมเป็นสักขีพยานการลงนามดังกล่าว


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ