ถอดรหัสกฎหมายทันเหตุการณ์: "MOU แรร์เอิร์ธ" กับบทเรียนคดีเหมืองทองอัครา โอกาสทางเศรษฐกิจใหม่ของไทยที่ต้องระวัง

ข่าวทั่วไป Tuesday October 28, 2025 15:31 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ถอดรหัสกฎหมายทันเหตุการณ์:

เมื่อ "แร่แรร์เอิร์ธ" (Rare Earth) กลายเป็นเกมใหม่ของเศรษฐกิจโลก

โลกกำลังเข้าสู่สงครามเย็นรอบใหม่ แต่คราวนี้ไม่ใช่เรื่องอาวุธ หากคือ "สงครามแร่" (Critical Minerals War) แร่หายากอย่างลิเทียม โคบอลต์ หรือ แร่แรร์เอิร์ธ (Rare Earth Elements) กลายเป็นหัวใจสำคัญของอุตสาหกรรมยุคพลังงานสะอาด ตั้งแต่แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า ไปจนถึงชิปคอมพิวเตอร์

เมื่อปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ไทยได้ก้าวเข้าสู่เวทีนี้เต็มตัว ด้วยการลงนาม "บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือเพื่อพัฒนาห่วงโซ่อุปทานแร่แรร์เอิร์ธ" (MOU) ระหว่าง รัฐบาลสหรัฐฯ กับรัฐบาลไทย ลงนามโดย นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ และ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีไทย ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์

Memorandum of Understanding (MOU) between the Government of the United States of America and the Government of the Kingdom of Thailand Concerning Cooperation to Diversify Global Critical Minerals Supply Chains and Promote Investments, signed in Kuala Lumpur on October 26, 2025 by President Donald J. Trump and Prime Minister Anutin Charnvirakul.

*ความร่วมมือครั้งนี้มีอะไรดีต่อไทย ?

MOU ฉบับนี้ถือเป็น "ดีลเศรษฐกิจเชิงยุทธศาสตร์" ที่จะเปิดประตูให้ไทยกลายเป็น ฐานการผลิตและแปรรูปแร่แรร์เอิร์ธในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีข้อดีสำคัญ 4 ประการ

1. ดึงดูดเงินลงทุนมหาศาลจากสหรัฐฯ ที่ต้องการลดการพึ่งพาจีนในห่วงโซ่อุปทานแร่แรร์เอิร์ธ จึงมองหาพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์ในภูมิภาค ไทยที่มีฐานอุตสาหกรรมยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ครบวงจร จึงเป็นเป้าหมายชั้นดี ดีลนี้อาจนำไปสู่การลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์ในภาคเหมือง แปรรูป และรีไซเคิลแร่

2. เทคโนโลยีและองค์ความรู้จากสหรัฐฯ MOU เปิดช่องให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยี (Technology Transfer) และ การพัฒนาทักษะบุคลากรไทย โดยเฉพาะเทคโนโลยีการแยก แปรรูป และรีไซเคิลแร่ ซึ่งไทยยังขาดความเชี่ยวชาญ

3. การยกระดับห่วงโซ่อุตสาหกรรมพลังงานสะอาด จากการเป็น "ผู้ผลิตชิ้นส่วน" ไทยอาจยกระดับสู่การเป็น "ศูนย์กลางการผลิตแบตเตอรี่และแม่เหล็กถาวร (Permanent Magnets)" ซึ่งเป็นหัวใจของอุตสาหกรรม EV และพลังงานหมุนเวียน

4. เสริมสถานะทางภูมิรัฐศาสตร์ของไทย ดีลนี้ทำให้ไทยกลายเป็น "พันธมิตรหลักของสหรัฐฯ" ในห่วงโซ่แร่แรร์เอิร์ธในเอเชียช่วยเพิ่มน้ำหนักต่อรองในเวทีเศรษฐกิจระหว่างประเทศ

*แต่...กฎหมายระหว่างประเทศไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ

แม้ MOU ฉบับนี้จะไม่ได้เป็น "ข้อตกลงผูกพันตามกฎหมายระหว่างประเทศ" แต่ก็อาจนำไปสู่การทำสัญญาลงทุน (Investment Agreement) หรือความตกลงการค้าเสรีฉบับใหม่ที่เปิดช่องให้นักลงทุนต่างชาติใช้กลไก Investor-State Dispute Settlement (ISDS) ซึ่งหมายความว่า หากในอนาคตไทยออกนโยบายจำกัดการขุดแร่ หรือยกเลิกโครงการบางแห่งด้วยเหตุผลด้านสิ่งแวดล้อมหรือสุขภาพ บริษัทต่างชาติอาจมีสิทธินำไทยไปฟ้องร้องต่ออนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศได้

*บทเรียนราคาแพงจาก "คดีเหมืองทองอัครา"

กรณีของบริษัท Kingsgate Consolidated Limited จากออสเตรเลียคือกรณีตัวอย่างที่ควรถูกจำไว้ หลังรัฐบาลไทยสั่งระงับการทำเหมืองทองในปี 2016 ด้วยเหตุผลด้านสิ่งแวดล้อม บริษัท Kingsgate ฟ้องร้องรัฐบาลไทยภายใต้กลไก ISDS อ้างว่าไทยละเมิดหลัก Indirect Expropriation (การเวนคืนโดยอ้อม) การสั่งปิดเหมืองทำให้บริษัทสูญมูลค่าทรัพย์สินโดยไม่ได้รับการชดเชย และ Fair and Equitable Treatment (FET) การใช้อำนาจรัฐโดยไม่ชี้แจงและไม่ให้โอกาสบริษัทปกป้องสิทธิ

แม้คดีจะยังอยู่ระหว่างพิจารณา แต่กรณีนี้เป็นสัญญาณชัดเจนว่า มาตรการด้านสิ่งแวดล้อมหรือความมั่นคงของรัฐ หากออกโดยขาดกระบวนการที่โปร่งใส ขาด Due Process และสมเหตุสมผล อาจถูกตีความว่าเป็นการละเมิดมาตราการคุ้มครองนักลงทุนระหว่างประเทศได้

*เส้นบาง ๆ ระหว่าง "อธิปไตยของรัฐ" กับ "สิทธิของนักลงทุน"

หลักการในกฎหมายการลงทุนระหว่างประเทศพยายามสร้างสมดุลระหว่างสองสิ่งนี้ รัฐมีสิทธิออกกฎหมายเพื่อคุ้มครองสิ่งแวดล้อมและสุขภาพประชาชน (Right to Regulate) อย่างไรก็ตาม นักลงทุนต่างชาติย่อมคาดหวังเสถียรภาพและความเป็นธรรมจากนโยบายของรัฐ (FET Protection)

หากรัฐใช้อำนาจโดยไม่ชัดเจน หรือออกคำสั่งที่กระทบกิจการโดยไม่มีมาตรการชดเชย ก็อาจถูกฟ้องว่า "ละเมิดความคาดหมายอันชอบธรรมของนักลงทุน (Legitimate Expectation)" ได้ทันที

*ดังนั้น ไทยควรเดินเกมอย่างไร ?

เพื่อไม่ให้ "โอกาสทอง" กลายเป็น "กับดัก" ไทยควรระมัดระวังใน 3 ด้านหลัก

1.ร่างสัญญาลงทุนให้มีข้อยกเว้นด้านสิ่งแวดล้อมและสาธารณสุข (Environmental & Public Health Exception) เขียนไว้ชัดเจนว่ามาตรการเพื่อคุ้มครองสิ่งแวดล้อมและสาธารณสุขจะไม่ถือเป็นการเวนคืน

2.ยกระดับระบบกำกับดูแลให้โปร่งใสและคาดการณ์ได้ ทั้งขั้นตอนอนุญาต การตรวจสอบ และการมีส่วนร่วมของชุมชน

3.ใช้ MOU เป็นเพียงกรอบความร่วมมือ ไม่ผูกพันทางกฎหมาย เพื่อเปิดทางให้ไทยสามารถ "ถอยได้อย่างมีศักดิ์ศรี" หากนโยบายต้องเปลี่ยนตามสถานการณ์ในอนาคต

*โอกาสทองที่ต้องเดินอย่างระวัง

MOU ไทยสหรัฐฯ ว่าด้วยความร่วมมือด้านแร่แรร์เอิร์ธ คือจุดเริ่มต้นของโอกาสใหม่ในการปฏิรูปอุตสาหกรรมพลังงานสะอาดของไทย แต่ก็เป็นสัญญาณเตือนให้รัฐไทยต้องเตรียม "เสริมเกราะทางกฎหมาย" ให้พร้อม ทั้งในด้านการออกแบบนโยบายการลงทุน การกำกับดูแลสิ่งแวดล้อม และการบริหารความเสี่ยงจากข้อพิพาทระหว่างประเทศ

เพราะในมิติของการลงทุนระหว่างประเทศ ความร่วมมือที่เริ่มต้นด้วยผลประโยชน์ร่วมกัน อาจกลายเป็นข้อพิพาทได้ หากรัฐขาดความรอบคอบทางกฎหมายและการสื่อสารที่โปร่งใส

ดุษดี ดุษฎีพาณิชย์

ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายการค้า การลงทุน และอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ