นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คมนาคม กล่าวภายหลังประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการดำเนินนโยบายการกำหนดอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้า เพื่อลดภาระค่าครองชีพประชาชน ครั้งที่ 1/2568 ว่า จากกรณีที่การดำเนินมาตรการเก็บค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีม่วง และสายสีแดง ในอัตรา 20 บาทตลอดสาย จะสิ้นสุดลงในวันที่ 30 พ.ย.นี้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย ได้มีข้อสั่งการให้กระทรวงการคลัง และกระทรวงคมนาคม ตั้งคณะกรรมการร่วมเพื่อพิจารณาว่าหลังวันที่ 30 พ.ย.แล้ว จะกำหนดอัตราค่าโดยสารเท่าไร

โดยวันนี้ ที่ประชุมมีมติเห็นชอบแนวทางการ "บัตรโดยสารเหมาจ่ายรายวัน" สำหรับรถไฟฟ้าสายสีแดง และสายสีม่วง เพื่อให้ประชาชนเดินทางได้สะดวก คุ้มค่า และต่อเนื่องภายใต้นโยบาย "ลดภาระค่าใช้จ่ายประชาชน" ของรัฐบาล โดยให้มีผลเป็นระยะเวลา 1 ปี เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค.68 ทั้งนี้ จะนำมติดังกล่าวเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาอย่างช้าไม่เกินวันที่ 18 พ.ย.68
กระทรวงคมนาคม เตรียมเปิดใช้ "บัตรโดยสารเหมาจ่ายรายวัน" ตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค.68 - 30 พ.ย.69 เพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางของประชาชน
- บุคคลทั่วไป เดินทางไม่จำกัดเที่ยวในวันเดียว เพียง 40 บาท/วัน
- นักเรียน-นักศึกษา จ่ายเพียง 30 บาท/วัน
- ผู้สูงอายุ ครึ่งราคา/ ผู้พิการและเด็ก ฟรี
- ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ใช้วงเงินในบัตร 750 บาท/เดือน ได้ตามสิทธิ
บัตรเหมาจ่ายดังกล่าว จะใช้ได้ทั้งรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง และรถไฟฟ้ามหานครสายสีม่วง ด้วยระบบ EMV Contactless / MRT EMV / Mangmoom EMV ซึ่งจะเชื่อมต่อการเดินทางระหว่าง 2 สายได้อย่างไร้รอยต่อ ช่วยให้ผู้โดยสารที่ต้องเดินทางหลายเที่ยวต่อวันสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้ชัดเจน และคุ้มค่ามากขึ้น
นอกจากลดภาระค่าครองชีพแล้ว มาตรการนี้ยังช่วยกระตุ้นให้ประชาชนหันมาใช้ระบบรางมากขึ้น ลดปัญหารถติด และลดมลพิษในเมืองใหญ่ โดยเป็นแนวทางที่ปรับปรุงเพิ่มเติมของนโยบาย "20 บาทตลอดสาย" ที่ได้รับการตอบรับอย่างดีจากประชาชนตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายภาครัฐ รัฐอุดหนุนงบประมาณเฉพาะกลุ่ม และสร้างแรงจูงใจในการใช้ระบบขนส่งสาธารณะของพี่น้องประชาชน
ด้านนายพิเชฐ คุณาธรรมรักษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางราง ชี้แจงว่า มาตรการใหม่ เป็นการคิดค่าบริการแบบแบบเหมาจ่ายทั้งวัน ซึ่งหากมีธุระมากขึ้น เดินทางหลายเที่ยวก็จ่ายเพียง 40 บาท ซึ่งมาตรการนี้ต้องใช้ผ่านบัตร EMV เท่านั้น เพราะข้ามสายกัน พร้อมกับยืนยันว่า ไม่เป็นภาระต่องบประมาณ เพราะเงินอุดหนุนน้อยลง ไม่ต้องอุดหนุนตั๋วทั่วไปอีกแล้ว ซึ่งผู้ที่ใช้บัตร EMV อยู่แล้ว ก็ไม่ต้องลงทะเบียนใหม่ มาตรการนี้จะเน้นเฉพาะกลุ่มที่ต้องเดินทางเยอะ หรือประชาชนที่เดินทางไปทำงานไป-กลับ
นายพิพัฒน์ กล่าวต่อว่า ที่ประชุมยังเห็นชอบแนวทางรวมศูนย์การบริหารจัดการระบบรถไฟฟ้าแบบองค์รวม หรือ "Single Ownership" โดยมอบหมายให้ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เป็นหน่วยงานหลักในการบริหารนโยบาย ค่าโดยสาร และระบบตั๋วร่วมของประเทศ เพื่อให้ทุกโครงการรถไฟฟ้าอยู่ภายใต้นโยบายเดียวกันอย่างมีเอกภาพ
แนวคิดดังกล่าว สอดคล้องกับ พ.ร.บ.การบริการจัดการระบบตั๋วร่วม (Common Ticket Act) ที่อยู่ระหว่างขั้นตอนประกาศใช้ ซึ่งเมื่อมีผลบังคับแล้วจะเป็น "โครงสร้างหลัก" ของระบบค่าโดยสารร่วม (Common Fare) และการเดินทางแบบไร้รอยต่อในอนาคต
"สิ่งที่เรากำลังทำ ไม่ได้เป็นเพียงการลดค่าครองชีพในวันนี้ แต่คือการสร้างระบบขนส่ง ที่ประชาชนทุกกลุ่มเข้าถึงได้จริง เดินทางได้ในราคาที่เหมาะสม และเชื่อมต่อกันทั้งระบบ การมีบัตรเหมาจ่ายรายวัน และตั๋วร่วม จะทำให้การเดินทางของคนกรุงเทพฯ และปริมณฑลเป็นหนึ่งเดียว สะดวก และคุ้มค่ากว่าเดิม" นายพิพัฒน์ กล่าวพร้อมย้ำว่า กระทรวงคมนาคม และทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมเดินหน้าขับเคลื่อนทุกมาตรการเพื่อลดภาระประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งในมิติของ ค่าโดยสาร-บริการ-คุณภาพชีวิต โดยเฉพาะการเชื่อมโยงระบบรางกับระบบขนส่งอื่น (Feeder) เพื่อให้ทุกการเดินทางของคนไทย "สะดวกตรงเวลา ปลอดภัย และราคาเหมาะสม"
รองนายกฯ และรมว.คมนาคม กล่าวถึงแนวทางการบริหารจัดการโครงการรถไฟฟ้าแบบองค์รวม ว่า รัฐบาลที่ผ่านมา มีการทำตั๋วร่วม 20 บาทต่อวัน ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะเมื่อคำนวณแล้ว รัฐต้องชดเชยเอกชนปีละ 2 หมื่นล้าน และตอนนี้ พ.ร.บ.ตั๋วร่วมฯ ผ่านสภาแล้ว ถือว่า เรื่องตั๋วร่วมน่าจะนำกลับมาใช้ใหม่ได้
อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการว่า ภายใน 4 เดือน อยากทำให้ตั๋วร่วมจบให้ได้ ซึ่ง รฟม.ได้จ้างที่ปรึกษาเรียบร้อยแล้ว โดยจะทำการต่อยอดและคำนวณใหม่ว่าราคาเหมาะสมอยู่ที่เท่าไร ซึ่งกระทรวงคมนาคม และกระทรวงการคลัง ได้มีการหารือและมีการตั้งคณะกรรมการอีกหนึ่งชุด เพื่อจะทำให้ รฟม. สามารถเข้าไปบริหารจัดการได้ แต่การเป็นเจ้าของ หรือการจะไปซื้อกิจการนั้น ทางคณะกรรมการก็ต้องไปพิจารณา ว่า จะไปซื้อกิจการเอกชนอย่างไร และหาเงินจากไหนที่ไม่ให้กระทบต่อหนี้สาธารณะ
นายพิพัฒน์ กล่าวว่า ได้มีการหารือกับนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลังไว้แล้ว เพื่อให้กระทรวงการคลังช่วยดูแนวทางว่าจะออกมาในแนวทางใดได้บ้าง สำหรับการซื้อกิจการคืน แล้วจะให้เอกชนเช่าบริหารนานต่อเท่าไร ซึ่งการพิจารณาเรื่องนี้ มีเป้าหมายว่า ภายใน 90 วันเรื่องนี้ต้องจบ ตามเป้าหมายของรัฐบาลที่จะต้องดำเนินตามนโยบาย Quick Big Win
ด้านนายเบญจรงค์ สุวรรณคีรี ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ยอมรับว่า การซื้อคืนกิจการจากภาคเอกชนคงเป็นไปได้ยากในช่วง 3 เดือน เพราะช่วง 3 เดือนนี้ คงเป็นช่วงศึกษาและสรุปให้ชัดว่าโมเดลที่ดีที่สุดคืออะไร จะดูแลอัตราค่าโดยสารได้อย่างไร และภาระทางการคลังที่เหมาะสมเป็นอย่างไร แต่ถ้าได้แนวทางที่ชัดเจนจากที่ประชุมครม.แล้ว ก็คงนำไปเริ่มเจรจากับภาคเอกชนต่อไป