นายจรัส คุ้มไข่น้ำ สส.ชลบุรี พรรคประชาชน (ปชน.) ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน กล่าวว่า เมื่อวานนี้ (28 ต.ค.) คณะกรรมาธิการฯ ได้ประชุมร่วมกันเป็นครั้งที่ 8 แต่ละฝ่ายได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างต่อเนื่อง และรอบด้าน โดยที่ประชุมมีมติแก้ไขสาระสำคัญของร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ ดังนี้
(1) แก้ไขลดชั่วโมงการทำงานจากเดิม 48 ชั่วโมง/สัปดาห์ ลงเหลือ 40 ชั่วโมง/สัปดาห์ เว้นแต่งานเสี่ยงอันตราย จะไม่เกิน 35 ชั่วโมง เป็นไปตามร่างที่พรรคประชาชนเสนอ
(2) แก้ไขกำหนดให้นายจ้างจัดให้ลูกจ้างมีวันหยุดประจำสัปดาห์ จากเดิมสัปดาห์หนึ่งไม่น้อยกว่า 1 วัน โดยวันหยุดประจำสัปดาห์ต้องมีระยะห่างกันไม่เกิน 5 วัน แก้ไขเพิ่มเป็นสัปดาห์หนึ่งไม่น้อยกว่า 2 วัน โดยวันหยุดประจำสัปดาห์ ต้องมีระยะห่างกันไม่เกิน 5 วัน
(3) แก้ไขกำหนดระยะเวลาการให้สิทธิลูกจ้างหยุดพักผ่อนประจำปี จากเดิมกำหนดให้ลูกจ้างซึ่งทำงานติดต่อกันมาแล้วครบ 1 ปี จึงมีสิทธิหยุดพักผ่อนประจำปีได้ไม่น้อยกว่า 6 วันทำงานต่อปี แก้ไขเป็นให้ลูกจ้างซึ่งทำงานติดต่อกันมาแล้วครบ 180 วัน มีสิทธิหยุดพักผ่อนประจำปีได้ไม่น้อยกว่า 10 วันทำงานต่อปี
ทั้งนี้ ในส่วนของวันบังคับใช้ พ.ร.บ.ฉบับนี้ จากเดิมได้เสนอให้มีผลบังคับใช้ภายใน 30 วันนับแต่วันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป แต่จากการประชุมเพื่อรับฟังความเห็นจากหลายภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงแรงงาน ผู้แทนนายจ้าง และผู้แทนลูกจ้าง คณะกรรมาธิการได้พิจารณาแล้วเห็นว่าควรแก้ไขให้มีผลบังคับใช้ภายใน 1 ปี นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป เพื่อให้มีการรองรับและปรับตัวในการเตรียมความพร้อมสำหรับการเปลี่ยนผ่านที่เหมาะสมสำหรับนายจ้าง ลูกจ้าง และกระทรวงแรงงานต่อไป
ด้านนายเซีย จำปาทอง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน กล่าวว่า กฎหมายฉบับนี้ มีเจตจำนงเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตพี่น้องแรงงาน ให้คนทำงานทุกคนมีความมั่นคงในการทำงานมากขึ้น ซึ่งต้องขอบคุณกรรมาธิการทุกภาคส่วน ที่ร่วมกันพิจารณาจนมีความคืบหน้า อย่างไรก็ตาม มีกฎหมายอีกหลายฉบับที่ต้องร่วมกันผลักดันต่อไป สำหรับร่างกฎหมายคุ้มครองแรงงานนี้ จะเข้าสู่วาระ 2-3 ในสมัยประชุมหน้า ต้องขอแรงสนับสนุนจาก สส. ทุกพรรคการเมืองในการร่วมผลักดันเพื่อไปสู่ชั้น สว.ต่อไป
ขณะที่ นายสหัสวัต คุ้มคง สส.ชลบุรี พรรคประชาชน กล่าวว่า กฎหมายฉบับนี้ เป็นมากกว่าเรื่องสิทธิแรงงาน แต่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศ นายจ้างจะได้แรงงานที่มีผลิตภาพมากขึ้น ความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุต่าง ๆ จากการทำงานจะน้อยลง แรงงานมีเวลาไปใช้จ่ายเงินมากขึ้น
กฎหมายฉบับนี้ จึงเป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่าย เป็นการยืนยันเรื่องที่ทั่วโลกถกเถียงกันมานานแล้วว่า คุณภาพชีวิตของแรงงานควรอยู่ตรงไหน กฎหมายฉบับนี้คือการคืนความปกติ คืนสิ่งที่ควรจะเป็นให้กับคนทำงานทั้งประเทศ ดังนั้นไม่เห็นเหตุผลใดที่จะปฏิเสธกฎหมายนี้ จึงฝากประชาชนติดตามการลงมติทั้งในวาระ 2-3 และในชั้นวุฒิสภาด้วย