นายกฯ ถกสภาธุรกิจเอเปค ชูจุดเด่นไทยเป็นสะพานเชื่อมการค้า-ลงทุนในภูมิภาค

ข่าวทั่วไป Friday October 31, 2025 18:37 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายกฯ ถกสภาธุรกิจเอเปค ชูจุดเด่นไทยเป็นสะพานเชื่อมการค้า-ลงทุนในภูมิภาค

นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย ได้เข้าร่วมการหารือระหว่างผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคกับสภาที่ปรึกษาทางธุรกิจเอเปค (ABAC Dialogue with APEC Economic Leaders) โดยมีผู้แทน ABAC จากชิลี บรูไน จีน และมาเลเซีย เพื่อแลกเปลี่ยนแนวทางส่งเสริมศักยภาพของไทยด้านเศรษฐกิจ และบทบาทของเอเปคในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่ยั่งยืน และพร้อมรับความเปลี่ยนแปลงในอนาคตหัวข้อ "ศักยภาพของไทยในการส่งเสริมการค้า การลงทุน และความเชื่อมโยงในภูมิภาค"

โดยนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถ้อยแถลงเสนอ 3 แนวทางดังนี้

1) การเสริมสร้างความเชื่อมโยงระดับภูมิภาค (Enhancing Regional Connectivity) โดยไทยตั้งอยู่ใจกลางภูมิภาคเอเชีย จึงเป็นสะพานเชื่อมโยงเอเชียใต้ เอเชียตะวันออก และอาเซียน ทำให้ไทยมีศักยภาพเป็นศูนย์กลางด้านการค้า โลจิสติกส์ และการลงทุน ทั้งนี้ รัฐบาลกำลังลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เช่น โครงการแลนด์บริดจ์ เพื่อเชื่อมโยงมหาสมุทรอินเดียกับแปซิฟิก และสร้างเส้นทางห่วงโซ่อุปทานใหม่

รวมถึงยกตัวอย่างความร่วมมือในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ประเทศไทยมีบทบาทสำคัญในการรักษาความต่อเนื่องของการขนส่งสินค้า และการเดินทางระหว่างประเทศ ผ่านโครงการ APEC Safe Passage Corridor

2) การลงทุนเพื่ออนาคต (Investing in the Future) ภายใต้นโยบาย Quick Big Win ที่มุ่งเน้นการดำเนินการระยะสั้น เพื่อผลลัพธ์ระยะยาว ไทยส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมแห่งอนาคต เช่น รถยนต์ไฟฟ้า (EVs) เซมิคอนดักเตอร์ ชีวเทคโนโลยี และปัญญาประดิษฐ์ (AI) พร้อมสนับสนุนผู้ประกอบการสตรีและสตาร์ทอัพ ผ่านโครงการพัฒนาศักยภาพ และการเข้าถึงแหล่งเงินทุน เพื่อให้การเติบโตทางเศรษฐกิจมีความครอบคลุมและเป็นธรรมสำหรับทุกคน

3) การขับเคลื่อนการเติบโตสีเขียวและยั่งยืน (Driving Green and Sustainable Growth) โดยภายใต้เป้าหมายกรุงเทพฯ หรือ Bangkok Goals on the Bio-Circular-Green Economy ไทยเป็นผู้นำในการผลักดันอุตสาหกรรมสีเขียว การลงทุนตามหลัก ESG และการเงินที่มีความรับผิดชอบ พร้อมขอบคุณสภาที่ปรึกษาทางธุรกิจเอเปค ที่ให้คำมั่นสนับสนุนแนวทางดังกล่าว

นอกจากนี้ ไทยยังมีมาตรการจูงใจทางภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนในพลังงานสะอาด อุตสาหกรรมปิโตรเคมีมูลค่าสูง และอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง รวมทั้งตั้งเป้าการเข้าเป็นสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ภายในปี 2573 เพื่อยกระดับมาตรฐานธรรมาภิบาล ความโปร่งใส และความร่วมมือใกล้ชิดยิ่งขึ้นกับประเทศสมาชิกเอเปค

นายกรัฐมนตรี ย้ำว่า ภาครัฐเป็นผู้กำหนดทิศทาง แต่ภาคธุรกิจคือผู้ทำให้สิ่งต่าง ๆ เกิดขึ้นจริง ดังนั้นความร่วมมือกับ ABAC จึงมีความสำคัญมาก เชื่อมั่นว่าด้วยการทำงานร่วมกัน ภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกจะสามารถสร้างความเชื่อมโยง ความสามารถในการแข่งขัน และความยั่งยืน เพื่อประโยชน์ของประชาชนในทุกเขตเศรษฐกิจ

โอกาสนี้ทาง ABAC ยังสอบถามถึงได้แนวทางที่เอเปคควรดำเนินการ ท่ามกลางความท้าทายทางภูมิรัฐศาสตร์ เพื่อสร้างภูมิภาคที่ยั่งยืน มีความพร้อมต่ออนาคต และสามารถคาดการณ์ได้ ซึ่งนายกรัฐมนตรี เสนอว่า จุดแข็งของเอเปค อยู่ที่ความครอบคลุมและลักษณะความร่วมมือโดยไม่ผูกพันทางกฎหมาย ซึ่งเปิดโอกาสให้ทดลองแนวคิดใหม่ ๆ สร้างความไว้วางใจ และเปลี่ยนศักยภาพให้เป็นโอกาสแห่งความร่วมมือ

พร้อมเสนอให้เอเปคมุ่งเน้น 3 ประเด็นสำคัญ ได้แก่ รักษาการเปิดกว้างของตลาด การขับเคลื่อนการเติบโตอย่างยั่งยืน และการเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน โดยเฉพาะในช่วงที่แนวโน้มกีดกันทางการค้า และความตึงเครียดทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น เอเปคควรยึดมั่นในระบบพหุภาคี และกลไกการค้าเสรีบนพื้นฐานของกติกา เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับภาคธุรกิจ และรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ โดยเขตเศรษฐกิจขนาดใหญ่ มีบทบาทสำคัญในการใช้ศักยภาพ เพื่อสร้างความไว้วางใจและส่งเสริมความร่วมมือ แทนที่จะสร้างความแบ่งแยก

นอกจากนี้ เอเปคจำเป็นต้องเตรียมภูมิภาคให้พร้อมต่ออนาคต ผ่านการส่งเสริมการเติบโตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ดิจิทัล และครอบคลุม โดยยึดตามวิสัยทัศย์ Putrajaya 2040 และเป้าหมายกรุงเทพฯ (Bangkok Goals) ควบคู่กับการลงทุนในพลังงานสะอาด การปรับตัวสู่ดิจิทัล และการสร้างห่วงโซ่อุปทานที่มีความยืดหยุ่น โดยได้รับการสนับสนุนจากระบบการเงินที่สอดคล้องกับหลัก ESG พร้อมเน้นย้ำว่า ความร่วมมือกับภาคเอกชนมีความสำคัญมาก หวังว่า ABAC จะยังคงแสดงบทบาทเชิงสร้างสรรค์ และการสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวสนับสนุนการเจ้าภาพเอเปคในปีหน้าของจีนอย่างเต็มที่ โดยเชื่อมั่นว่าจะช่วยเสริมสร้างความร่วมมือ เสถียรภาพ และโอกาสใหม่ให้กับภูมิภาค

"เอเปคจะทำงานได้ดีที่สุด เมื่อสร้างสะพานแห่งความร่วมมือ ไม่ใช่กำแพงแห่งความแตกแยก และเอเปคได้ร่วมกันเปลี่ยนความท้าทายให้เป็นความก้าวหน้าร่วมกัน" นายอนุทิน กล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ