สทนช. เตรียมตั้งรับพายุ "คัลแมกี" ปรับแผนระบายน้ำเขื่อนภูมิพลรับมือฝนเพิ่ม

ข่าวทั่วไป Thursday November 6, 2025 15:30 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

สทนช. เตรียมตั้งรับพายุ

นายไพฑูรย์ เก่งการช่าง รองเลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) กล่าวภายหลังเป็นประธานการประชุมติดตามสถานการณ์น้ำและการวางแผนการบริหารจัดการน้ำเขื่อนภูมิพลว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย พร้อมด้วย นายภราดร ปริศนานันทกุล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานเตรียมความพร้อมรับมือกับสถานการณ์ "พายุคัลแมกี" ซึ่งจากอิทธิพลของพายุดังกล่าวจะส่งผลให้ช่วงวันที่ 7-9 พ.ย.68 ประเทศไทยตอนบนมีฝนเพิ่มขึ้น และมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางพื้นที่โดยจะเริ่มจากบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก ภาคกลาง และภาคเหนือ

โดย สทนช.ร่วมกับทุกหน่วยงานติดตามสถานการณ์ฝน สถานการณ์น้ำท่า และปริมาณน้ำในเขื่อนแต่ละแห่งอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเขื่อนขนาดใหญ่ซึ่งอยู่ในแนวพื้นที่รับฝนจากพายุคัลแมกี ได้แก่ เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ และเขื่อนอุบลรัตน์ ที่ปัจจุบันมีปริมาณน้ำในเขื่อนเกือบ 100% จึงต้องมีการวางแผนพร่องระบายน้ำจากแต่ละเขื่อนอย่างรอบคอบรัดกุม โดยจากการติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง พบว่า เขื่อนสิริกิติ์และเขื่อนอุบลรัตน์ สถานการณ์ยังไม่น่าเป็นห่วงและสามารถรองรับปริมาณฝนที่จะตกมาเพิ่มได้

ส่วนสถานการณ์น้ำในเขื่อนภูมิพลวันนี้มีปริมาณน้ำกักเก็บ 13,176 ล้าน ลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) คิดเป็น 97% ของความจุเก็บกัก มีพื้นที่ว่างรองรับน้ำได้อีก 285.48 ล้าน ลบ.ม. ปัจจุบันมีการระบายน้ำอยู่ที่ 13 ล้าน ลบ.ม.ต่อวัน ซึ่งกรมอุตุนิยมวิทยารายงานข้อมูลพยากรณ์ฝน 7 วันล่วงหน้า คาดว่าจะมีปริมาณฝนในพื้นที่เขื่อน 80 มม. ทำให้มีปริมาณน้ำไหลเข้าเขื่อนสะสม 301.92 ล้าน ลบ.ม. หากปรับเพิ่มปริมาณการระบายน้ำแบบขั้นบันได เป็น 30.00 ล้าน ลบ.ม./วัน พบว่าในอีก 7 วันจะมีปริมาตรน้ำ 13,323 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็น 99% ของความจุเก็บกัก

ที่ประชุมเห็นชอบให้ กฟผ.วางแผนปรับเพิ่มการระบายน้ำแบบขั้นบันไดตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปในอัตรา 30.00 ล้าน ลบ.ม./วัน 40 และ 45 ล้าน ลบ.ม./วัน สูงสุดไม่เกิน 60 ล้าน ลบ.ม./วัน ปริมาณน้ำที่ระบายออกจากเขื่อนดังกล่าวจะส่งผลให้ระดับน้ำด้านท้ายเขื่อนฯ เพิ่มสูงขึ้นไม่เกิน 20 เซนติเมตร โดยมวลน้ำจากเขื่อนจะไหลลงสู่แม่น้ำปิง ผ่านจังหวัดตาก จังหวัดกำแพงเพชร และจังหวัดนครสวรรค์ จนถึงเขื่อนเจ้าพระยาใช้เวลาอีก 8-9 วัน ซึ่งจะไม่ส่งผลให้ระดับน้ำเหนือเขื่อนเจ้าพระยาเพิ่มสูงขึ้น โดยขอให้ กฟผ.พิจารณาปรับการระบายน้ำให้เหมาะสมสอดคล้องกับสถานการณ์โดยคำนึงถึงความปลอดภัยของเขื่อนและผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อด้านท้ายน้ำเป็นสำคัญ

พร้อมทั้งให้มีการประชาสัมพันธ์กับพื้นที่และประชาชนล่วงหน้าอย่างต่อเนื่องเพื่อเตรียมความพร้อมรองรับสถานการณ์ได้ทัน ซึ่งน้ำที่ระบายจากเขื่อนภูมิพลนี้ก็จะส่งต่อไปพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา ซึ่ง ณ วันนี้ ที่สถานี C.2 จ.นครสวรรค์ มีปริมาณน้ำไหลผ่าน 2,988 ลบ.ม./วินาที คาดการณ์ว่าช่วงวันที่ 6-14 พ.ย. ปริมาณน้ำที่จุดนี้จะอยู่ในช่วง 2,833-3,110 ลบ.ม.ต่อวินาที และมีปริมาณน้ำที่มาจากลุ่มน้ำสะแกกรัง (side flow) ไหลเข้าเขื่อนเจ้าพระยาในอัตรา 336 ลบ.ม.ต่อวินาที จึงได้วางแผนระบายน้ำท้ายเขื่อนที่เจ้าพระยาให้คงอยู่ในอัตรา 2,700 ลบ.ม./วินาที และวางแผนผันไปฝั่งตะวันออกและตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยาให้สมดุลกันเพื่อเร่งระบายออกสู่อ่าวไทยให้เร็วที่สุด

ปีนี้มีปริมาณฝนที่ตกสะสมค่อนข้างสูงอย่างเห็นได้ชัด พบว่า ณ วันที่ 3 พ.ย.68 มีปริมาณฝนสะสม 1,600 มม. มากกว่าค่าปกติ 8% ขณะที่ปี 2567 ปริมาณฝนสะสม 1,705 มม. มากกว่าค่าปกติ 5% สำหรับในปีที่มีฝนตกปริมาณสูงเป็นพิเศษ เช่น ปี 2565 พบว่าปริมาณฝนสะสม 2,012 มม. มากกว่าค่าปกติ 24% และปี 2554 มีปริมาณฝนสะสม 1974.9 มม. มากกว่าค่าปกติ 20% จากสถานการณ์ฝนที่ได้คาดการณ์และเกิดขึ้นจริง ทุกหน่วยงานจะต้องวางแผนร่วมกันเพื่อกักเก็บน้ำในเขื่อนแต่ละแห่งให้ได้เกือบเต็มความจุเก็บกักซึ่งได้ดำเนินการล่วงหน้าตั้งแต่ต้นปี 2568 เพื่อให้มีน้ำในเขื่อนมากที่สุดเพื่อใช้เป็นน้ำต้นทุนสำหรับใช้ประโยชน์ในช่วงฤดูแล้ง ณ วันที่ 1 พ.ย. ตามปฏิทินการบริหารจัดการน้ำในภาพรวม

อย่างไรก็ตาม สทนช. และทุกหน่วยงานก็ยังคงต้องเฝ้าระวังปริมาณน้ำในเขื่อนขนาดใหญ่ ที่จะได้รับอิทธิพลจากพายุในช่วงถัดจากนี้ไปอย่างเข้มข้น โดยต้องวางแผนจัดการจราจรน้ำในแต่ละพื้นที่แบบเป็นกลุ่มลุ่มน้ำเพื่อให้สอดคล้องสัมพันธ์และช่วยบรรเทาผลกระทบในแต่ละพื้นที่ให้ได้มากที่สุด


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ