กลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจร้านอาหาร สถานบันเทิง และสถานบริการ นำโดย นายสรเทพ โรจน์พจนารัช ประธานชมรมผู้ประกอบธุรกิจร้านอาหาร และที่ปรึกษากิตติมศักดิ์สมาคมโฮสเทลประเทศไทย, นายสง่า เรืองวัฒนกุล นายกสมาคมผู้ประกอบธุรกิจถนนข้าวสาร พร้อมด้วยตัวแทนจากสมาคมค้าปลีกไทย สมาคมร้านอาหาร สมาคมอุตสาหกรรมบันเทิงและการท่องเที่ยวเมืองพัทยา สมาคมการค้าผู้ประกอบธุรกิจคราฟท์เบียร์ และสมาคมการท่องเที่ยวเขาใหญ่ ร่วมกันยื่นหนังสือถึงนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย เพื่อขอความชัดเจนและขอบเขตการบังคับใช้ พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2568 รวมทั้งขอให้ยกเลิกการห้ามดื่มนอกเวลาขาย โดยมีนายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นผู้รับหนังสือ

นายสรเทพ ระบุว่า ปัญหาหลักของกฎหมายที่ออกมาบังคับใช้เมื่อวันที่ 8 พ.ย.ที่ผ่านมา มีปัญหาหลัก คือ เรื่องของการห้ามนั่งดื่มต่อ แต่วันนี้ที่มายื่น คือ 1.เรื่องของการปลดล็อกขายแอลกอฮอล์ช่วงเวลา 14.00-17.00 น. ซึ่งมีใช้มาตั้งแต่ พ.ศ. 2515 ไม่เข้ากับบริบทของประเทศไทย 2. เรื่องของการปลดโซนนิ่ง และ 3. เรื่องของการอนุญาตให้นั่งดื่มต่อ ซึ่ง 3 ข้อนี้กระทบมาก และไม่ได้กระทบเฉพาะผู้ประกอบการในประเทศไทยเท่านั้น
โดยขอแยกออกเป็น 2 กรณีคือ 1. ผู้ประกอบการร้านอาหารและท่องเที่ยว 2. ภาคธุรกิจกลางคืน โดยในส่วนของผู้ประกอบการร้านอาหารและท่องเที่ยว สำนักงานส่งเสริมส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ TCEB โทรมาสอบถามว่าแก้ได้หรือไม่ และแก้อย่างไร เพราะสำนักข่าวต่างประเทศเล่นข่าวหลายสำนัก จึงมีผลกระทบต่อการท่องเที่ยวเต็ม ๆ
"TCEB จะมีการประชุมใหญ่ เป็นสัมมนา 3-4 กรุ๊ป ซึ่งจะได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน หากกฎหมายนี้ไม่ได้รับการแก้ไข และอาจถึงขั้นที่ต้องย้ายการจัดสัมมนาประเทศอื่น" นายสรเทพ กล่าวพร้อมระบุว่า ขณะนี้ผู้ประกอบการ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจร้านอาหาร หรือธุรกิจท่องเที่ยว รวมถึงมัคคุเทศก์ต่างก็มีความกังวลด้วยเช่นกัน จึงต้องการเรียกร้องหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้คำนึงถึงมิติอื่น ๆ ด้วย
"หากมีการพานักท่องเที่ยวไปทัวร์ ในช่วงที่มีอากาศร้อน เขาจะไปนั่งดื่มเบียร์ในช่วงบ่ายสอง 10 นาที มันก็ไม่ได้แล้ว ทางร้านจะโดนจับทั้งไกด์ทั้งร้านที่ขาย เขาก็กลัวไปหมด กลายเป็นสภาวะสูญญากาศในช่วงนี้ ที่กระทบกับการท่องเที่ยวเต็มๆ เราจึงดูแล้วว่าไม่ไหว เราเข้าใจว่าคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มองในมิติสุขภาพ แต่อยากเรียกร้องว่าให้ท่านมองในมิติอื่นด้วย มองในแง่เศรษฐกิจภาพรวมของประเทศ ยังมีทั้งในเรื่องท่องเที่ยว ผู้ประกอบการธุรกิจร้านอาหาร ผับ บาร์ อีกหลายล้านชีวิตในประเทศ" นายสรเทพ ระบุด้านนายสง่า เรืองวัฒนกุล นายกสมาคมผู้ประกอบธุรกิจถนนข้าวสาร กล่าวว่า ในส่วนของถนนข้าวสาร ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวมีรายได้เข้าประเทศค่อนข้างมาก มีนักท่องเที่ยวประมาณ 2 หมื่นกว่าคน/วัน สิ่งที่เรากังวล คือ ถ้ามีการปรับจริงในกรณีดื่มแอลกอฮอล์นอกเวลาที่กฎหมายกำหนด จะส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวของไทย
"ผู้ประกอบการเป็นกังวลมาก ในสิ่งที่ภาคราชการออกอะไรออกมาที่ไม่ได้คำนึงถึงผู้ประกอบการ ซึ่งเป็น SME ที่เป็นรากฐานของประเทศ ขอให้ช่วยกลับไปทบทวนดูบริบทของวันนี้ ไม่เหมือนกับ 10-20 ปีที่ผ่านมา จิตสำนึกของคนวันนี้ดีขึ้นเยอะแล้ว เพราะฉะนั้นเรามาปลูกจิตสำนึกในความรับผิดชอบ ไม่ใช่เอากฎหมายมาครอบผู้ประกอบการ" นายสง่า ระบุขณะที่นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ และได้มีการพูดคุยกันในการประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจครั้งแรก เนื่องจากนายกรัฐมนตรีได้รับทราบข้อร้องเรียนจากผู้ประกอบการ
อย่างไรก็ดี กฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่เมื่อวันที่ 8 พ.ย.นั้น ในเนื้อหาสาระมีการปลดล็อกเวลาจำหน่าย และให้ไปดูในประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวคือ เพิ่มเวลาจำหน่าย แต่ห้ามนั่งดื่มเกินเวลา ซึ่งได้รับคำแนะนำจากฝ่ายกฎหมายว่า เมื่อประกาศฉบับดังกล่าวยังไม่บังคับใช้ การไปแก้กฎหมายดังกล่าวอาจจะยังไม่สมบูรณ์ แต่เมื่อบังคับใช้แล้ว และนายกรัฐมนตรีได้เห็นว่าประชาชนมีความเดือดร้อน จึงได้เร่งให้คณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ นัดประชุมกันในวันที่ 13 พ.ย.นี้ โดยมีนายโสภณ ซารัมย์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เมื่อผลออกมา เชื่อว่าจะได้คำตอบ และจะมีผลบังคับใช้ไม่เกินต้นเดือน ธ.ค.นี้ ตามข้อกำหนดของกฎหมาย
นายสิริพงศ์ กล่าวว่า ในระหว่างนี้ จะหารือกับคณะกรรมการฯ ว่ามีสิ่งใดบ้างที่สามารถผ่อนปรนได้ หรือผ่อนผันในช่วงนี้ได้ ในส่วนของแนวทางมีความเห็นในทางที่ตรงกัน เพราะการประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจครั้งที่ผ่านมา กระทรวงการต่างประเทศได้ให้ความเห็นเรื่องนี้แล้วเช่นกัน ว่ากฎหมายฉบับนี้จะมีผลกระทบกับจำนวนนักท่องเที่ยว
"ขอยืนยันว่า รัฐบาลจะเร่งแก้ปัญหาเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด ขอให้อดใจรอนิด" โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุ
ส่วนแนวทางเหมาะสมที่พอจะตกลงกันได้นั้น นายสิริพงศ์ กล่าวว่า น่าจะมีการปลดล็อกเวลาขายในช่วงกลางวัน ส่วนเวลากลางคืน การขายอาจจะให้จบแค่ช่วงเที่ยงคืนสำหรับร้านอาหารทั่วไป ส่วนการนั่งดื่มต่อนั้น กำลังพิจารณาแนวทางที่เหมาะสม ซึ่งอาจจะอนุญาตให้นั่งต่อได้อีกสักช่วงเวลาหนึ่ง
ส่วนการแบ่งโซนนิ่งนั้น นายสิริพงศ์ กล่าวว่า เป็นอีกประเด็นหนึ่ง ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ให้แนวทางในการทบทวน ทั้งนี้การยกเลิกโซนนิ่งทั้งหมดอาจเป็นไปไม่ได้ แต่อาจมีพื้นที่นำร่องในการลองปลดโซนนิ่ง หรืออาจมีการเพิ่มพื้นที่โซนนิ่ง ทั้งนี้ การจะปลดโซนนิ่ง จะต้องมีเรื่องของกฎหมายควบคุมสถานบันเทิง เพื่อการันตีให้เกิดผลกระทบกับประชาชนน้อยที่สุด